เยี่ยมนครแห่งศิลปะ วัฒนธรรม ความโรแมนติค และแฟชั่น Visiting the City of Arts, Culture, Romance and Fashion
มงต์มาร์ทร์ (Montmarte & Sacre Coeur Basilica)
มหาวิหารพระหฤทัยแห่งมงต์มาร์ทร์ เป็นโบสถ์และมหาวิหารรองในคริสตจักรโรมันคาทอลิก ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงที่สุดของกรุงปารีส หรือที่เรียกกันว่า “มงต์มาร์ทร์” สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแก่พระหฤทัยของพระเยซู ปัจจุบันถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวหลักของกรุงปารีส โดยถือเป็นอนุสาวรีย์ของทั้งสองด้าน คือการเมืองและวัฒนธรรมมงต์มาร์ทร์เป็นหุบเขาสูง 130 เมตร ทางตอนเหนือของปารีส บนเขาเป็นที่ตั้งของโบสถ์ซาเครเกอร์ ซึ่งสร้างขึ้นเป็นอนุสรณ์สถานเพื่ออุทิศแด่ชาวฝรั่งเศสที่เสียชีวิตจากสงครามกับปรัสเซีย ออกแบบตามแบบศิลปะสไตล์โรมัน – ไบเซนไทน์ ซึ่งมีความอลังการและงดงามมาก การเดินทางไปย่านมงต์มาร์ทร์เพียงแค่นั่งรถไฟใต้ดินไปเพียง 2-3 สถานีก็ถึง โบสถ์ซาเครเกอร์
(Sacre Coeur) ซึ่งอยู่บนยอดเนินจัดเป็นโบสถ์ที่มีความสวยงามและโดดเด่นทีเดียว เราไปถึงตอนเย็นที่นักท่องเที่ยวมักไปนั่งชุมนุมกันหน้าโบสถ์ จากสถานีรถไฟฟ้า ต้องเดินผ่านซอยเล็กๆ ที่สองข้างทางเป็นร้านขายของที่ระลึก เส้นทางค่อยๆ ลาดชันขึ้นเขาไปจนถึงโบสถ์ บันไดหน้าโบสถ์เต็มไปด้วยผู้คนที่มาเที่ยวและพักผ่อนยามเย็น เมื่อมองจากบันไดหน้าโบสถ์จะเห็นทิวทัศน์เมืองปารีสได้อย่างชัดเจน อากาศตอนที่เรามาวันนี้มีฝนตกพรำ ทำให้รูปที่ถ่ายมาจะออกสีเทาแต่ก็ไม่ทำให้ความงามของมงต์มาร์ทร์ลดลงเลย เราเดินขึ้นไปชมมหาวิหารด้านในซึ่งไม่สามารถถ่ายรูปได้ แต่เราก็เก็บภาพตั้งแต่ด้านล่างจนตลอดเส้นทางที่เราเดินขึ้นไปถึงด้านบน ภาพที่เลือกมาลงนั้นเราได้อ้อมไปอีกฝั่งซึ่งสามารถเดินขึ้นไปชมความงามจากมุมสูงบนหอคอยเล็กๆ แต่เราก็ได้ภาพที่เป็นมาสเตอร์พีซเลยทีเดียว
ปารีสถูกจัดให้เป็น 1 ในเมืองยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวตลอดกาล เพราะถูกขนานนามว่าเป็นเมืองที่โรแมนติคที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แถมยังเป็นแหล่งช้อปในฝันของสาวๆ ที่อยากจะมาสัมผัสเจ้าของแบรนด์เนมชื่อดังทั้งหลาย เราเริ่มการเดินทางโดยนั่งเครื่องจาก Munich มาลงสนามบินที่ Orly Airport ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง พอมาถึงฝนก็ตกพรำๆ แถมอากาศเย็นถึง 11 องศา เราไม่รอช้ารีบเข้าเช็คอินที่โรงแรมที่เราเลือกซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Subway เท่าไรนัก เดินทางสะดวกประมาณว่าออกจากโรงแรมปุ๊บก็เจอเลยทีเดียว (การที่เราเลือกที่พักอยู่ใกล้ย่านแหล่งช้อปปิ้งและการเดินทางที่สะดวกย่อมทำให้เราประหยัดเวลาได้เยอะ) ว่าแล้วเราพักผ่อนไม่นานก็รีบออกจากโรงแรมไปยังจุดหมายแรก ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พัก ทริปนี้เราไม่ต้องกังวล เพราะมีเพื่อนที่พักอยู่ที่นี่คอยให้คำแนะนำอย่างเชี่ยวชาญ
ตกเย็นพวกเราไม่รอช้า รีบเดินทางไปยังสถานที่ที่ตั้งใจไว้ พร้อมกับความฝันที่อยากจะมาถ่ายรูป เพื่อจารึกไว้ว่า ครั้งหนึ่งฉันได้มาถึงมหานครแห่งปารีสแล้ว…“ลา ตูค์ อิฟเฟล” (La Tour Eiffel) ในภาษาฝรั่งเศส หรือ หอไอเฟล ถือเป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศส ใครที่มาเที่ยวปารีสเป็นต้องไม่พลาดการถ่ายรูปคู่กับหอไอเฟลแห่งนี้ หอไอเฟลเป็นหอคอยสร้างด้วยโครงเหล็ก สูงถึง 300 เมตร ตั้งอยู่บนถนนชองป์เดอมารส์ บริเวณแม่น้ำแซน ในกรุงปารีส ตั้งชื่อตามสถาปนิกผู้ออกแบบ คือ “กุสตาฟ ไอเฟล” วิศวกรและสถาปนิกชาวฝรั่งเศสผู้เป็นปรมาจารย์ในด้านการก่อสร้างด้วยเหล็ก หอไอเฟลเป็นสิ่งปลูกสร้างที่สูงที่สุดในกรุงปารีส สูงเทียบเท่ากับ
ตึก 75 ชั้น มีความงามสง่า รูปร่างอ่อนช้อย สะท้อนให้เห็นจิตวิญญาณของฝรั่งเศส ได้รับการออกแบบและก่อสร้างในปี ค.ศ.1839 หอไอเฟลคือผลงานชิ้นเอกในการฉลองการปฏิวัติฝรั่งเศสอันนองเลือดเมื่อ 100 ปีก่อนหน้าเมื่อได้ทราบถึงที่มาและความพยายามในการสร้าง เราก็อดที่จะนับถือ “กุสตาฟ ไอเฟล” ผู้ทำให้หอไอเฟลแห่งนี้เกิดขึ้นเสียมิได้ เพราะนี่คือสัญลักษณ์ของ Paris ที่หากใครไม่ได้มาถ่ายรูปถือว่ามาไม่ถึงมหานครแห่งนี้
วันที่ 2 เรานั่ง subway มาหลายสถานีกว่าจะมาถึงที่นี่ วันนี้อากาศดีมาก แดดออกทำให้ความงามของที่นี่เด่นชัดขึ้นไปอีก ถือเป็นการเริ่มต้นวันท่องเที่ยวที่ดีอีกวันหนึ่ง เราเดินออกจากสถานีมานิดเดียวก็เจอ มหาวิหารตั้งตระการตาอยู่เบื้องหน้า เมื่อกระทบกับแสงแดดยิ่งดูงดงามเหมือนมีมนต์สะกด เรามองขึ้นไปด้านบนสุดไล่ลงมาจนถึงปลายประตูของวิหาร ตื่นตาตื่นใจในความงดงามจนอดหลงรักมหาวิหารน็อทร์-ดามขึ้นมาไม่ได้เมื่อมองจากด้านนอก มหาวิหารแห่งนี้คือสถาปัตยกรรมชิ้นเอกสไตล์กอธิคฝรั่งเศส ส่วนด้านในเป็นศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์ของผู้ศรัทธาทั้งด้านศาสนาและศิลปะ มหาวิหารน็อทร์-ดาม ตั้งอยู่บนเกาะซิเต้ (Ile de la Cite) ทางฝั่งตะวันออกของกรุงปารีส เกาะซิเต้นี้ถูกล้อมรอบด้วยแม่น้ำแซน ใจจริงอยากใช้เวลาอยู่ที่นี่นานๆ แต่กลัวจะไม่ทันนั่งรถชมรอบเมือง ว่าแล้วเราก็รีบไปกันเลย
การนั่งรถทัวร์ชมกรุง (Double Decker Bus Tour)
การนั่งรถทัวร์ชมกรุงเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่มาปารีสเป็นครั้งแรก เพราะที่นี่จะมีรถทัวร์ที่เรียกกันว่า L’Open Tour ซึ่งมีดาดฟ้าอยู่ข้างบน เพื่อให้คุณได้ชมเมืองปารีสอย่างไม่มีอะไรบดบังสายตา นักท่องเที่ยวสามารถซื้อตั๋ววันเดียวหรือสองวันก็ได้สำหรับการนั่งรถชมเมืองใน 4 เส้นทาง โดยทันทีที่คุณซื้อตั๋วแล้ว ทางรถทัวร์จะมีชุดหูฟังให้เพื่อใช้เสียบต่อกับแจ็คที่อยู่บริเวณด้านข้างของเบาะที่นั่ง ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถฟังบรรยายไปตลอดการเดินทาง โดยเลือกฟังได้ถึง 8 ภาษา ได้แก่ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น ภาษา
อิตาลี ภาษาเยอรมัน ภาษาสเปน ภาษารัสเซีย และภาษาจีนสำหรับเคล็ดลับในการนั่งรถทัวร์ชมกรุงปารีสนั้น แนะนำให้ลองใช้บริการในวันธรรมดาหรือเช้าวันหยุดสุดสัปดาห์จะดีที่สุด เพราะหากใช้บริการในช่วงเวลาอื่นคนจะแน่นมาก และคุณอาจจะได้ยืนในห้องที่จัดไว้รองรับเวลาที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก นอกจากนี้ หากใช้บริการช่วงคนน้อย คุณสามารถที่จะเปลี่ยน
หูฟังของคุณได้ในกรณีที่ใช้หูฟังต่อกับแจ็คบางตัวไม่ได้อีกด้วยวันที่ 3 เราออกเดินทางแต่เช้าตรู่เพื่อไปเยี่ยมชมพระราชวังแวร์ซายส์ ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางและชมความงามของสถานที่นานพอสมควร เพราะมีห้องและสถานที่ที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก เราเลือกเดินทางโดยรถไฟเร็ว ซึ่งสะดวกมากเพราะสามารถเดินจากที่พักที่อยู่ฝั่งตรงข้ามไปยังสถานี Montparnasse ได้ เราขึ้นรถไฟ Trainsilien ไปลงที่สถานี Versailles Chantiers ใช้เวลาราวๆ 30 นาที เมื่อไปถึงจะ
เที่ยวเดินทางมาไม่ขาดสาย สามารถเดินตามกันไปได้ จากสถานีต้องเดินต่อไปอีก 600-700 เมตร ใช้เวลาประมาณ 10 นาที
พระราชวังแวร์ซายส์ (Château de Versailles) เป็นพระราชวังหลวงแห่งหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่ที่เมืองแวร์ซายส์ ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงปารีส ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของมหานครปารีส เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และสวยงามแห่งหนึ่งของโลก และนับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในปัจจุบันด้วย
คนที่จะมาเที่ยวชมที่แวร์ชายส์แนะนำให้มาแต่เช้า เพราะสถานที่กว้างใหญ่มาก ภายในทุกส่วนทำด้วยหินอ่อนสีขาว เป็นแบบอย่างศิลปกรรมที่งดงามมาก โดยแบ่งออกเป็นห้องๆ เช่น ห้องบรรทม ห้องเสวย ห้องสำราญ ฯลฯ ทุกห้องล้วนมีเครื่องประดับงดงามตระการตาและภาพเขียนที่มีชื่อเสียง ภายในพระราชวังมีภาพวาด ภาพแกะสลัก ซึ่งแสดงให้เห็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสหลายสมัย
สถานที่แห่งนี้เคยใช้เป็นที่เซ็นสัญญาสงบศึกกับอเมริกาในปี ค.ศ 1783 แวร์ซายส์ นับเป็นส่วนหนึ่งของแรงผลักดันที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ในฝรั่งเศส เมื่อปี ค.ศ. 1789 ต่อมาในปี ค.ศ. 1815 พระเจ้าหลุยส์-ฟิลิปป์ได้เปลี่ยนสภาพพระราชวังแห่งนี้ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ และใช้เป็นสถานที่ลงนามในสัญญาสงบศึกสงครามโลกครั้งที่ 1 ระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรกับเยอรมัน เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1919
นอกจากเครื่องประดับเก่าแก่และสูงค่า การจัดสวนก็เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่างดงามยิ่งนัก เพราะมีการตกแต่งประดับประดาด้วยดอกไม้หลากสีสวยงาม โดยเฉพาะตอนฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ส่วนที่เป็นป่าสำหรับล่าสัตว์ปัจจุบันใช้เป็นสถานที่ให้ผู้เข้าชมไปเดินเล่น พักผ่อน และมีม้าหินให้นั่งเล่นเป็นระยะๆ
สรุปว่าการเดินทางวันนี้เราใช้เวลาครึ่งวัน ส่วนตัวนั้นชอบความอลังการและชอบห้องบรรทมเป็นพิเศษ เพราะอย่างน้อยก็ได้เห็นพื้นที่ความเป็นส่วนตัวของพระเจ้าหลุยส์
พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ หรือ Musée du Louvre
เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงที่สุด เก่าแก่และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก หากมีโอกาส
ไม่ต้องไปเที่ยวชมงานศิลปะที่พิพิธภัณฑ์อื่นใด
ตรงมาที่นี่เลย รับรองว่ามีภาพวาด ศิลปะโบราณจากทั่วทุกมุมโลกรวมอยู่ที่นี่อย่างล้นหลาม จนหลายคนคงเคยได้ยินคำร่ำลือว่า
“เดิน 3 วันก็ยังไม่ทั่ว” ซึ่งดูท่าจะเป็นเรื่องจริง เพราะขนาดผู้เขียนเดินแค่ชั่วโมงเศษยังถึงกับขาลาก
พิพิธภัณฑ์ลูฟร์แบ่งออกเป็น 3 ปีก ได้แก่ Richelieu อยู่ทางทิศเหนือ Sully เป็นอาคารสี่เหลี่ยมทางทิศตะวันออก และ Denon อยู่
ทิศใต้ขนานกับแม่น้ำแซน แต่ละปีกแบ่งเป็นสัดส่วนจัดเก็บศิลปะแบ่งตามประเภทและยุคสมัย ทุกปีกมี 4 ชั้น เริ่มตั้งชั้นใต้ดินขึ้นไป โดยทางเข้าของพิพิธภัณฑ์อยู่ใต้ปิรามิดซึ่งอยู่ระหว่างปีกทั้งสาม
พลาดไม่ได้!! อย่าลืมเดินไปเยี่ยม “โมนาลิซา”
ภาพวาดหญิงสาวผู้มีรอยยิ้มเป็นปริศนา ผลงาน
ภาพเขียนสีน้ำมันอันลือชื่อของ เลโอนาโด
ดา วินชี ซึ่งมีระบุที่ตั้งไว้ในแผนที่ชัดเจน
บันทึกการเดินทางในครั้งนี้ เราได้ชมประวัติศาสตร์ของประเทศฝรั่งเศสและเป็นอีกหนึ่งเมืองที่น่าสนใจ และเราเองก็ประทับใจกับครั้งแรกของการได้มาสัมผัสมหานคร
ปารีสด้วย…
Story by : Arpapicha
Photo by : Patrick Metz
Place : France