#ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว(2562) ตอนที่ยังไม่มีการระบาดของ #ไวรัสโควิด19 ดัชนีอยู่แถว 1,500 กว่าๆ หลังจากนั้นก็มีการระบาดของไวรัสทั่วโลก ดัชนีจึงลงมาทำจุดต่ำสุดที่ 969.08 หรือลงมาคิดเป็นประมาณ 40% เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2563 หลังจากนั้นก็ไต่ระดับขึ้นมาเรื่อยๆ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ขึ้นไปทำจุดสูงสุดของวัน(8/6/63)(ภาพที่ 1)ที่ 1,454.95 ขึ้นมา 485.87 จุด หรือขึ้นมา 50.14% ในเวลาเพียงประมาณ 2 เดือน ซึ่งเมื่อเทียบกับดัชนีช่วงเดือนธันวาคมปี 2562 เท่ากับว่าลงมาเพียง 7% เท่านั้น ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ คล้ายกับตลาดจะบอกว่าวิกฤตไวรัสไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตเลย แล้วจะมีการฟื้นคืนกลับมาในลักษณะวีเชพของเศรษฐกิจ ผมกำลังสงสัยว่าตลาดอาจจะมีความเชื่อแบบผิดๆ การที่รัฐบาลทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยกำลังออกมาตรการเพื่อจะช่วยอุดหนุนคนในชาติและธุรกิจต่างๆ คุณคิดว่าเงินที่ปั๊มออกมาจะช่วยได้สักกี่เดือน ถ้าสถานการณ์ไวรัสยังอันตรายอยู่
ภาพที่ 1 : ดัชนีตลาดหลักทรัพย์
ตราบใดที่ยังไม่มีวัคซีนที่จะต่อสู้กับเจ้าไวรัสตัวร้ายนี้ได้ ซึ่งผมเชื่อว่าอย่างเร็วสุดก็คงจะเป็นครึ่งหลังของปีหน้า กว่าที่วัคซีนจะมีการพิสูจน์ว่าใช้แล้วได้ผล และมีการฉีดวัคซีนให้กับคนส่วนใหญ่บนพื้นโลกใบนี้ ซึ่งกว่าจะถึงเวลานั้นเชื่อว่าจะมีธุรกิจที่เกี่ยวข้อง จะต้องล้มหายตายจากไปอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจของทุกประเทศในโลกนี้ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย จะแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งแน่นอนจะทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวปีนี้และปีหน้ายังจะแย่อยู่ รวมทั้งความต้องการในสินค้าและบริการของคนทั้งโลกจะลดลง
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจที่พึ่งพาการท่องเที่ยวและการส่งออก จากสถานการณ์ไวรัสที่ยังระบาดหนักไปอยู่ทั่วโลกดังเช่นปัจจุบันนี้ นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปท่องเที่ยว คงต้องคิดหนัก ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะเป็นประเทศที่มีการระบาดของไวรัสอยู่ในวงจำกัดก็ตาม แต่ความขยาดเจ้าตัววายร้ายนี้ยังฝังอยู่ในจิตใจของมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ ถึงแม้ว่าจะมีการท่องเที่ยวในรูปแบบ Travel Bubble ก็ตาม ฟันธงได้เลยว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาประเทศไทยจะต้องลดลงเป็นจำนวนมาก จัดส่งผลกระทบให้กับแรงงานที่อยู่ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก เมื่อตกงานไม่มีรายได้หรือมีรายได้ลดลง ก็จะทำให้ความต้องการที่จะซื้อสินค้าและบริการพลอยลดลงตามไปด้วย ทำให้การใช้จ่ายจะมีการระมัดระวังมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการซื้อสินค้าคงทนหรือการท่องเที่ยวและอื่นๆ คนส่วนใหญ่จะเลือกซื้อแต่สิ่งของที่จำเป็นเท่านั้น อะไรที่ยังพอใช้ได้ก็จะทนใช้ต่อไป นั่นหมายถึงจะกระทบเศรษฐกิจไทยโดยรวม
การที่ผู้ติดเชื้อ #โควิด19 ในเมืองไทยเพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขหลักเดียวต่อวัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราล็อคดาวน์ประเทศ แต่เมื่อทยอยปลดล็อคดาวน์ รวมทั้งอนุญาตให้มีคนต่างชาติหรือกระทั่งคนไทยที่มาจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศได้ การระบาดรอบ 2 ก็มีความเป็นไปได้สูง ช่วงเกิดการระบาดของไข้หวัดสเปนเมื่อ 100 ปีที่แล้ว ปรากฏว่าการระบาดรอบที่ 2 ทำให้ผู้คนล้มตายไปมากกว่ารอบแรกเสียอีก ตราบใดที่ยังมีผู้ติดเชื้อบนโลกนี้เป็นหลักล้านคน และยังไม่มีวัคซีนที่จะป้องกันและรักษาได้ ซึ่ง #องค์การอนามัย #WHO ก็บอกแล้วว่า จะมีวัคซีนได้เร็วสุดก็คือปีหน้า อย่าลืมนะครับ กว่าจะผลิตวัคซีนเพื่อจะฉีดให้กับประชากรทั้งโลก ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนเกือบ 7,800 ล้านคน ขั้นตอนการทดสอบและผลิต ย่อมต้องใช้เวลานาน #Fauci บอกว่าไวรัส #โควิด19 น่าจะระบาดประมาณ 2 ปี ระหว่างนี้จะควบคุมไม่ได้ จนกว่าจะมีประชากร 2 ใน 3 ของโลกติดเชื้อแล้ว หรือเกิด Herd immunity การระบาดจะเกิดเป็นระลอก ที่น่ากลัวก็คือ สายพันธุ์ที่ยุโรปอเมริกาและเอเชียคนละสายพันธุ์กัน และคนที่เคยติดแล้วยังสามารถกลับมาติดเชื้อนี้ใหม่ได้อีก การคาดหวังเรื่องวัคซีนในระยะสั้น เป็นการเล็งผลเลิศเกินไป
การเดินทางของคนทั้งโลกจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปตราบใดที่ยังไม่มีวัคซีนที่จะป้องกันและรักษาไวรัสตัวนี้ได้ เครื่องบินหรือพาหนะที่ใช้เคลื่อนย้ายและขนส่งคน จะมีการใช้ capacity ลดลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง เพราะว่าจะต้องมีการจัดการเกี่ยวกับ physical Distancing ยังไม่นับอุปสงค์ที่จะลดลงจากการที่จะเดินทางเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ระบบการใช้การประชุมออนไลน์ในปัจจุบันก็มีเครื่องไม้เครื่องมือที่อำนวยความสะดวกมากมาย รวมทั้งการเดินทางเพื่อสันทนาการจะลดลงเป็นอย่างมาก ลองถามตัวเองสิครับว่า จะให้นั่งรถทัวร์หรือขึ้นเครื่องบินนานๆ แล้วมีคนนั่งติดอยู่กับคุณทั้งด้านหน้า ด้านหลัง ด้านซ้าย ด้านขวา ขอให้คุณใส่หน้ากากอนามัยด้วย คุณจะรู้สึกอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้ ผมจึงไม่แปลกใจว่าทำไม #วอร์เรนบัฟเฟตต์ ถึงขายทิ้ง #หุ้นกลุ่มสายการบิน ในพอร์ตออกไปทั้งหมด เพราะว่าจะมีหลายบริษัทในกลุ่มนี้เจ๋งไปในที่สุด ถึงแม้ว่าจะมีบริษัทที่รอดก็ตาม แต่เมื่อหลังจากการระบาด #โควิด19 ลดลง ความที่ธุรกิจนี้มี Barrier of Entry ต่ำ ดังนั้นใครที่มีเงินก็สามารถที่จะเปิดบริษัทสายการบินใหม่ จึงเป็นธุรกิจที่ไม่น่าสนใจในการลงทุน
ธุรกิจที่จะล้มหายตายจากไปก่อนก็คือธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว โดยเฉพาะสายการบินและโรงแรม ขนาดที่ว่าในช่วงภาวะปกติ #การบินไทย ก็จะเจ๊งมิเจ๊งแหล่อยู่แล้ว ยิ่งมาเจอสถานการณ์แบบนี้ ถ้าไม่ใช่ธุรกิจที่รัฐบาลอุ้มชู ก็ต้องเจ๊งแน่นอน คิดดูสิครับ ถ้าไวรัสยังระบาดแบบนี้ Physical distancing จะทำให้เครื่องบินแต่ละลำ รับผู้โดยสารได้ลดลงไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง ถึงแม้ว่าราคาน้ำมันจะลดลง แต่ต้นทุนอื่นๆไม่ได้ลดลงตาม ในขณะที่รายได้หายไปไม่ต่ำกว่า 50% เผลอๆน่าจะต่ำกว่า 70% เสียด้วยซ้ำ เพราะว่าคนส่วนใหญ่ก็ยังขยาดที่จะต้องนั่งอยู่บนเครื่องบินที่มีพื้นที่จำกัดและการระบายอากาศก็ไม่ดี
ร้านอาหารภัตตาคารก็เป็นอีกกลุ่มธุรกิจนึงที่จะได้รับผลกระทบอย่างสูง โดยเฉพาะจิ้มจุ่มและชาบู รวมทั้งไลน์บุฟเฟ่ ถ้าสถานการณ์ระบาดยังคงดำเนินต่อ นอกจากจะทำให้ผู้คนไม่กล้าที่จะเข้าไปนั่งทานในร้านแล้ว ที่ร้านเองก็ยังต้องจัดที่นั่งให้ผู้ที่เข้ามารับประทานอาหารนั่งห่างกัน ยังไม่นับรวมถึงการทำความสะอาดหลังจากที่ลูกค้าออกจากร้านไปอีก น่าจะทำให้รายได้ลดลงไม่ต่ำกว่าครึ่งหนึ่ง ถ้าไปขึ้นราคาอาหาร ก็จะทำให้ปริมาณลูกค้าลดลง ในขณะที่ต้นทุนเพิ่มขึ้น การที่รัฐอนุญาตให้เปิดร้านอาหารอีกครั้ง ก็ไม่แน่ว่าจะทำให้ธุรกิจจะอยู่รอดได้หรือไม่ ธุรกิจที่มีสายป่านสั้นคงไม่น่าจะรอด การลดจำนวนพนักงานและการเพิ่มช่องทางขายออนไลน์ คงจะเป็นทางเลือกที่พอจะมีอยู่อันน้อยนิด ในสถานการณ์แบบนี้ร้านค้าอยู่ไม่ได้ บรรดาเจ้าของห้างก็น่าจะเหนื่อย เพราะว่าค่าเช่าที่เคยเรียกเก็บได้คงจะต้องลดลง ถ้าไม่ลดค่าเช่าร้านค้าก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน ทั้งหลายทั้งปวงก็จะส่งผลกระทบให้กับการจ้างงานไปด้วย
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือเราแทบจะไม่มีธุรกิจอะไรที่จะตอบรับกับ New Normal ได้เลย ไม่เหมือนกับที่เมืองจีนมี #Alibaba #Tencent #WeChat #Huawei หรือที่เมกามีหุ้นกลุ่ม #FAANG : #Facebook #Amazon #Apple #Netflix # Alphabet (Google) #AirBNB กระทั่ง #Grab ของมาเลเซียหรือ #Get ของอินโดนีเซีย(โกเจ็ก) โลกหลังจากนี้จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป คนที่ไม่ยอมปรับตัวหรือปรับตัวไม่ได้ หรือผู้ที่เลือกที่จะอยู่ใน Comfort Zone จะถูกละทิ้งไว้อยู่ที่เบื้องหลัง ที่น่าเป็นห่วงก็คือคนไทยส่วนใหญ่จะเป็นคนกลุ่มนี้ ส่วนผู้ที่รอดคือผู้ที่ยอมปรับตัวหรือปรับตัวได้เท่านั้น เป็นไปตาม #ทฤษฎีชาร์ลดาร์วิน
โดยเฉพาะเศรษฐกิจไทยพึ่งพาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวและการส่งออกเป็นอย่างมาก เรามีธุรกิจหรืออุตสาหกรรมที่จะมารองรับ New Normal น้อยมาก การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะแย่และช้ากว่าโดยเฉลี่ยของทั้งโลกครับ ผมเชื่อว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปีนี้คงจะอยู่ที่ประมาณ 60 ถึง 65 บาทและปีหน้าคงจะอยู่ที่ราวๆ 75-80 บาทดังนั้น PE ตลาดของปีนี้ปัจจุบันซื้อขายกันที่ประมาณ 24 เท่าและคิดเป็น 19 เท่ากว่าๆสำหรับ PE ของตลาดในปีหน้า ซึ่งนับว่าไม่ถูกเลย เมื่อเทียบกับความเสี่ยงของความไม่แน่นอน ดูเหมือนว่านักลงทุนไทยจะมี Risk Appetite มากขึ้น สำหรับผมคิดว่า Risk vs Reward ณปัจจุบันนี้ไม่คุ้มค่าเลย
ภาพนี้เป็นภาพที่ผมกลัวมากที่สุด เพราะถ้าเป็นไปตามในรูปนี้จริงๆ แสดงว่า #นรกยังมาไม่ถึง #MAYDAYMAYDYเราช่วยกัน Photo credit, Jean Paul Rodrigue Dept.
รัฐบาลต่างๆทั่วโลกก็มีหนี้สินต่อ GDP อยู่ในอัตราที่สูงอยู่แล้ว ยิ่งถ้ามีการนำเงินอนาคตมาใช้เป็นจำนวนมาก แน่นอนย่อมส่งผลกระทบต่อมูลค่าเงินที่แท้จริงของระบบการเงินทั้งโลก จึงไม่แปลกใจที่ทำไมราคาทองคำถึงขึ้นมามาก และนักวิเคราะห์ยังทำนายว่ายังจะขึ้นไปได้อีกเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์จากจุดนี้ ในเมื่อเงินตราทั่วโลกจะเสื่อมมูลค่าลง และก็ไม่แปลกใจเช่นกันที่เห็นราคาหุ้นในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ขึ้นระเบิดเถิดเทิงเช่นนั้น ระหว่างอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำผิดปกติทั่วโลก การคำนวณผลตอบแทนจากการลงทุนของนักลงทุนทั่วโลก เป็นการเปรียบเทียบผลตอบแทนจากการลงทุนกับอัตราดอกเบี้ยในตลาด ทำให้นักลงทุนยอมซื้อหุ้นที่มีค่า PE สูงขึ้น ในยามที่ดอกเบี้ยต่ำติดดินเช่นนี้
ที่พูดมานี้ ไม่ได้หมายความว่าจะเชียร์ให้ซื้อทองคำนะครับ เพราะแต่ไหนแต่ไร ผมมักจะแนะนำคนให้ซื้อทองคำไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์ของสินทรัพย์ที่มี เพราะว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทน ตราบใดที่ #ราคาทองคำ ไม่ขึ้น คนที่ถือทองคำก็จะไม่ได้ประโยชน์อันใดเลย มิหนำซ้ำถ้าถือทองคำในรูปลักษณะที่เป็น Physical ยังจะต้องมีค่าเก็บรักษาและค่าความเสี่ยงที่จะสูญหายเสียอีกด้วย ปัจจุบันการที่จะเอาของมีค่าไปฝากตู้นิรภัยของธนาคาร คุณจะต้องซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงินหรือฝากเงินกับธนาคารจำนวนหนึ่ง คุณถึงจะมีสิทธิ์เปิดใช้บริการเช่าตู้นิรภัยของธนาคารได้ ซึ่งดอกเบี้ยเงินฝากประจำวันที่ 1 เปอร์เซ็นต์กว่าๆ มันน้อยนิด แน่นอนถ้าคุณสามารถหาผลตอบแทนที่ได้ดีกว่านี้ ส่วนต่างของดอกเบี้ยเงินฝากกับผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์อื่นก็คือ ต้นทุนในการถือครองทองคำของคุณนั่นเอง ซึ่งหลายๆคนไม่เคยนำเรื่องต้นทุนค่าเสียโอกาสมาคำนวณ
ส่วนสินทรัพย์ประเภทอื่นที่มีความเสี่ยงไม่มากนักก็คือ #อสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตครั้งนี้ไม่มากนัก โดยเฉพาะอสังหาเพื่อการอยู่อาศัยที่มีผลตอบแทนจากการเช่าแน่นอน และควรจะเลือกซื้ออันที่ได้ผลตอบแทนในระดับตั้งแต่ 4 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ในขณะที่ #อสังหาสำหรับการพาณิชย์ หรือออฟฟิศ จะได้รับผลกระทบปานกลาง เนื่องจากความต้องการที่จะเช่าสถานที่ลดลงทั้งจำนวนรายและเนื้อที่ที่จะเปิดทำการค้าขายหรือเป็นสำนักงานน้อยลง อุปสงค์และอุปทานที่เปลี่ยนแปลงไปจะทำให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในอสังหาเพื่อการพาณิชย์และเพื่อสำนักงานลดลง #newnormal คือเหตุผลที่จะทำให้เกิดปรากฏการณ์เช่นนั้น
คอลัมนิสต์
เรื่อง : กิติชัย เตชะงามเลิศ ผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านการลงทุน หนังสือ “จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร” เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆหนังสือ “ออมจากน้อยเป็นร้อยล้าน” แนะวิธีออมเงินเพียงเดือนละหลักพัน ก็เป็นเศรษฐี 100 ล้าน ก่อนอายุ 50 ปี!ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai Twitter : http://twitter.com/value_talk Instagram : Gid_KitichaiBlog website : https://kitichai1.blogspot.com You Tube : http://www.youtube.com/c/KitichaiTaechangamlert |