หลายปีที่ผ่านมาเราได้ยินคำว่า Co-Working Space อยู่บ่อยๆ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ให้บริการกับผู้ที่ต้องการเช่าใช้พื้นที่สำนักงานเล็กๆในใจกลางเมือง ที่ไม่สามารถที่จะสู้ค่าเช่าสำหรับพื้นที่สำนักงานในใจกลางเมืองที่แสนแพงได้ โดย Co-Working Space เริ่มต้นเกิดขึ้นครั้งแรกที่เมืองซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 2548 ส่วนมากจะเป็นผู้ที่ทำงานฟรีแลนซ์ หรือ นักวิชาชีพที่ทำงานคนเดียว โดยเฉพาะกลุ่ม Digital Nomad และ Startup ทั้งหลาย ซึ่งสามารถจะทำงานที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้ ขอเพียงแค่มีคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตให้ใช้เท่านั้น ซึ่งความต้องการเช่าเหล่านี้ อาจจะเป็นความต้องการเช่าในระยะสั้นและหรือระยะยาวก็ตาม โดยผู้เล่นรายใหญ่ใน Asia ก็คือ Naked Hub ซึ่งมีฐานใหญ่อยู่ที่เมือง Shanghai และ URWork ซึ่งมีฐานใหญ่อยู่ที่เมือง Beijing
จริงๆแล้วความต้องการเหล่านี้มีมาอยู่ตั้งนานแล้ว แต่เพิ่งจะทำเป็นเรื่องเป็นราวก็ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมานี่เอง แนวคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ได้แพร่หลายไปทั่วโลก เราจะเห็นได้ว่าในเมืองใหญ่ๆล้วนแล้วแต่มี Co-Working Space ผุดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งแน่นอนต้องมีกรุงเทพเป็นหนึ่งในเมืองที่มี Co-Working Space อยู่ด้วย โดยรายที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากหน่อยเช่น Hubba เพราะว่าเป็นรายแรกที่ทำธุรกิจนี้ในเมืองไทย เป็นต้น ปัจจุบันทั้งร้านอาหาร ร้านเบเกอรี่และร้านกาแฟหลายแห่ง ก็ได้จัดแบ่งพื้นที่ภายในร้านหรือชั้นบนของร้านมาทำเป็น Co-Working Space ด้วยเช่นกัน โดยมีการคิดค่าใช้จ่ายเป็นรายวันหรือรายเดือน ปัจจุบันนี้มีการคิดค่าใช้จ่ายแบบครึ่งวันก็มีแล้วในหลายแห่ง โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยตกวันละประมาณ 300 บาท
การที่ Co-working Space เป็นที่นิยม ส่วนหนึ่งก็เกิดจากการที่ผู้คนเหล่านั้นไม่ต้องการบรรยากาศที่ต้องมานั่งทำงานคนเดียว โดยเฉพาะคนที่มาจากต่างถิ่น แล้วย้ายเข้ามาทำงานอยู่ในเมืองใหญ่ อาจจะไม่ค่อยมีเพื่อนหรือญาติพี่น้อง เนื่องจากมนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม ดังนั้น Co-working Space สามารถที่จะตอบโจทย์นี้ได้ ทำให้ผู้ที่มาใช้บริการได้มีโอกาสพบปะผู้ที่มาใช้บริการคนอื่นๆด้วย จึงมีโอกาสที่จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรืออาจจะถึงขั้นส่งเสริมและ Barter ธุรกิจซึ่งกันและกันได้
ถัดมาไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราเริ่มได้ยินคำว่า Co-Living Space หรือบางคนอาจจะเรียกว่า Co-Housing ซึ่งเป็นการดัดแปลงมาจาก Co-Working Space โดยใช้ Concept เดียวกัน เทรนด์ที่อยู่อาศัยแบบนี้เริ่มกำลังเป็นที่นิยมโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ อย่างเช่นในสหรัฐอเมริกา WeWork ซึ่งเป็นรายใหญ่ที่ทำธุรกิจ Co-Working Space ก็ได้หันมาจับธุรกิจ Co-Living Space เช่นกัน โดยใช้ชื่อว่า WeLive ก็ได้ผลตอบรับที่ดี และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขยายสาขามากขึ้นเรื่อยๆ โดย Co-Living Space เป็นที่อยู่อาศัยขนาดเล็กคล้ายๆกับห้องสตูดิโอ เพียงแต่ว่าไม่มีส่วนที่เป็นครัว หรือห้องรับประทานอาหาร และห้องรับแขก โดยส่วนใหญ่จะมีห้องน้ำในตัว หรือถ้ากรณีที่ไม่มีห้องน้ำในตัว ก็จะมีห้องน้ำในพื้นที่ส่วนกลาง โดยเจ้าของธุรกิจก็จะมีการเตรียมพวกสบู่ ยาสระผมไว้ให้ตลอดเวลา โดยแยก ห้องดูทีวี ห้องออกกำลังกาย ห้องครัว พื้นที่รับประทานอาหาร ตลอดไปจนถึงห้องอ่านหนังสือ หรือห้องสมุด มาเป็นพื้นที่ส่วนกลางให้ใช้ร่วมกัน โดยเจ้าของธุรกิจ Co-Living Space จะเป็นผู้ตระเตรียมพวกสบู่ น้ำยาล้างจาน ฯลฯ เอาไว้ให้ผู้ที่อาศัยอยู่ได้ใช้ร่วมกัน
จริงๆแล้วดูไปธุรกิจนี้ก็มีส่วนคล้ายคลึงกับธุรกิจ Hostel แต่ว่าจับลูกค้าต่างประเภทกัน โดย Hostel จะจับกลุ่มนักท่องเที่ยวระยะสั้น ส่วนธุรกิจ Co-Living Space จะเจาะกลุ่มที่พักระยะยาว Co-Living Space ที่ดูดีหน่อย ก็อาจจะมีสระว่ายน้ำ ฟิตเนส ห้องโยคะ ฯลฯ เอาไว้ให้บริการกับผู้ที่อยู่อาศัย รวมทั้งมีการจัดกิจกรรมให้ผู้ที่อยู่อาศัย ได้มีโอกาสได้พบปะกัน ไม่ว่าจะเป็นปาร์ตี้ หรือกิจกรรม DIY การออกกำลังกาย การฝึกโยคะ เป็นต้น
คนส่วนใหญ่มักจะมองว่า Co-Living Space ทำขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มคน Gen Y ซึ่งเลือกที่จะใช้การเช่าแทนที่จะเป็นเจ้าของทรัพย์สินต่างๆ โดยคนกลุ่มนี้นิยมที่จะใช้ Uber แทนที่จะเป็นเจ้าของรถยนต์ หรือใช้บริการ Airbnb ในการไปพักอาศัยเวลาท่องเที่ยว หรือเป็นสมาชิก Netflix แผนที่จะไปซื้อแผ่น DVD มาดู ในทำนองเดียวกันสำหรับที่อยู่อาศัยประเภทที่กำลังมาแรงของคนกลุ่มนี้ก็คือ Co-Living Space ซึ่งเข้ากับนิสัยของคนกลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดี คือการได้ชอบพบปะผู้คน นอกจากนั้นธุรกิจ Co-Living Space ยังให้บริการคล้ายๆกับ Service Apartment คือมีการให้บริการซักอบรีดให้ด้วย แต่ให้บริการและมีความถี่ที่น้อยกว่า Service Apartment โดยส่วนใหญ่จะให้บริการเพียงสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เมื่อคำนวณค่าใช้จ่ายที่จะต้องจ่ายไปสำหรับการเข้าไปอยู่ใน Co-Living Space เมื่อเทียบกับการเช่าอาศัยแบบเดิมๆใน Apartment Service Apartment หรือคอนโดที่เจ้าของปล่อยเช่า เมื่อเทียบบริการและสิ่งที่ได้รับ ทำให้กลุ่ม Gen Y ส่วนหนึ่งยินดีที่จะเลือกที่จะใช้บริการ Co-Living Space
Credit pictures https://www.dezeen.com/
ธุรกิจ Co-Living Space ได้ตอบโจทย์และแก้ปัญหาให้กับชาวลอนดอนได้ค่อนข้างดี เนื่องจาก ปัจจุบันนี้ความต้องการห้องพักอาศัยขาดแคลนเป็นอย่างมาก ทำให้ลอนดอนเป็นเมืองที่จำนวนห้องพักที่ว่างมีอัตราที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆในโลกนี้ อาคารเก่าๆหลายอาคารได้ถูกดัดแปลงและปรับปรุงเพื่อใช้เป็นพื้นที่สำหรับ Co-Living Space ซึ่งก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากชาวเมืองลอนดอน
นอกจากกลุ่ม Gen Y ที่จะเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของธุรกิจนี้แล้ว ก็ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่เราแทบจะคาดกันไม่ถึงเลย ว่าจะให้ความสนใจที่จะมาใช้บริการของธุรกิจนี้ นั่นก็คือกลุ่มผู้สูงวัยหรือกลุ่ม Baby Boomer ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้หลายคนก็อยากจะอยู่ในสังคมของคนวัยเดียวกัน เพราะพูดจาภาษาเดียวกัน และเข้าใจกันได้มากกว่า มีวิถีชีวิตที่คล้ายคลึงกัน และปกติที่พักแบบ Co-Living Space ที่เจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้ากลุ่มผู้สูงวัย ก็จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆสำหรับผู้สูงวัยโดยเฉพาะ ในกรุงลอนดอนมีหลายโครงการแล้วที่เจาะลูกค้ากลุ่มนี้ ซึ่งเมืองไทยก็เป็นประเทศที่มีผู้สูงอายุอยู่เป็นจำนวนมาก ปัจจุบันมีคนไทยประมาณ 17 เปอร์เซ็นต์แล้วที่มีอายุเกิน 60 ปี และจำนวนผู้สูงวัยก็จะมีอัตราเพิ่มขึ้นอีกในไม่กี่ปีข้างหน้า เชื่อว่า Trend ที่อยู่อาศัยแบบนี้ น่าจะเป็นที่นิยมในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าในเมืองไทย ต้องจากนั้นยังมี Co-Living Space ที่เจาะกลุ่มสุภาพสตรีโดยเฉพาะ ทำให้สุภาพสตรีที่อาศัยอยู่ในโครงการเหล่านั้นรู้สึกอุ่นใจ สบายใจ และปลอดภัยมากขึ้น ในการที่จะอยู่อาศัยร่วมกันในที่อยู่อาศัยแบบนั้น
แนวคิดของการอยู่อาศัยแบบนี้ก็คือ “Breaking down fences and allow people to start sharing amenities in their living environment so that there is a quality of life but also a social activation.” ด้วยขนาดห้องพักที่ค่อนข้างเล็ก ผู้ประกอบการจึงมักสามารถตั้งราคาค่าเช่าได้ถูกกว่าอพาร์ทเม้นท์หรือคอนโดมิเนียมให้เช่าโดยทั่วไป จึงทำให้เกิดความนิยมใช้บริการของธุรกิจนี้มากขึ้น ปัจจุบันโครงการที่เป็น Co-Living Space บางแห่ง มีลักษณะเป็นแบบการขายขาดบางส่วน ร่วมกันกับการกันพื้นที่บางส่วนในโครงการเดียวกันไว้สำหรับให้เช่า โดยส่วนใหญ่จะมีอัตราส่วน 2 ต่อ 1
จากรายงานของเจแอลแอลกล่าวว่า ในเอเชีย ธุรกิจ Co-Living Space ยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก แต่กำลังเริ่มส่งสัญญาณการขยายตัว จีนนับเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจประเภทนี้เป็นประเทศแรกในเอเชีย โดย ‘ยูพลัส อินเตอร์เนชั่นแนล ยูธ คอมมูนิตี‘ เป็นหนึ่งในแบรนด์โคลิฟวิ่งสเปซรายแรกๆ ที่เริ่มเปิดดำเนินธุรกิจประเภทนี้ในจีนปี 2555 ตามมาด้วยผู้ประกอบการรายอื่นๆ อีกหลายรายที่เกิดขึ้นในเมืองหลักๆ ของจีน ส่วนฮ่องกงซึ่งเป็นเมืองที่มีราคาที่อยู่อาศัยแพงที่สุดในโลก มีโครงการที่พักอาศัยให้เช่าในคอนเซ็ปต์ของโคลิฟวิ่งสเปซเริ่มปรากฏให้เห็นแล้วเช่นกัน ส่วนสิงคโปร์กำลังอยู่ในช่วงทดสอบตลาด โดยบริษัทแอสคอทท์ได้เปิดแบรนด์ Co-Living Space ขึ้นในชื่อ ‘LYF’ ซึ่งจะบริหารในโครงการมิกส์ยูส ‘ฟูนัน’ ที่กำลังพัฒนาโครงการโดยแคปปิตอลแลนด์ ส่วนที่ญี่ปุ่นและอินโดนีเซีย แบรนด์โคลิฟวิ่งระดับอินเตอร์ ‘โรม’ ได้เปิดบริการในย่านอากาซากะของกรุงโตเกียว และเมืองอูบุดบนเกาะบาหลี
สำหรับประเทศไทย มีผู้ประกอบการรายเล็กจำนวนไม่มากที่ให้บริการ Co-Living Space ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยวสำคัญๆ เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต และกระบี่ แต่ส่วนใหญ่เน้นจับตลาดชาวต่างชาติที่เป็น Digital Nomad หรือนักพเนจรแห่งยุคดิจิตอล (ใช้เรียกกลุ่มคนที่ทำงานได้ทุกที่ที่สามารถเชื่อมต่อเข้าอินเตอร์เน็ตได้ ทำให้สามารถทำงานและท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ ได้ในเวลาเดียวกัน) ส่วนใหญ่โครงการ Co-Living Space หลายแห่งจะมีการจัดพื้นที่ให้บริการ Co-Working Space ภายในโครงการด้วยเช่นกัน
สำหรับคนไทย Co-Living Space อาจยังไม่ใช่ที่ทางเลือกที่เป็นที่นิยม เนื่องจากยังมีที่พักอาศัยประเภทอื่นให้เลือกในอัตราค่าเช่าที่ไม่แพงมากจนเกินไป และให้ความเป็นส่วนตัวมากกว่า อย่างไรก็ดี เมืองใหญ่ดังเช่นกรุงเทพฯ ยังมีศักยภาพที่จะกลายเป็นตลาดของธุรกิจ Co-Living Space ได้ในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากที่พักอาศัยในกรุงเทพฯ มีขนาดเล็กลง จากราคาที่ดินในเมืองที่พุ่งสูงขึ้นเป็นอย่างมาก และอัตราค่าเช่าแพงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อสร้างผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าให้สูงไล่ตามราคาต้นทุนของห้องพักอาศัยที่สูงขึ้น ทำให้ต่อไปนี้ จะเป็นการยากขึ้นสำหรับกลุ่ม Gen Y ที่เพิ่งเริ่มทำงาน หรือทำงานมายังไม่นาน จะมีกำลังซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัยในใจกลางเมืองที่ใกล้ที่ทำงานได้ อีกปัจจัยหนึ่งที่สนับสนุนให้คนกลุ่มนี้สนใจที่จะใช้บริการของธุรกิจนี้คือ คนรุ่นใหม่เหล่านี้ เติบโตขึ้นในยุคเศรษฐกิจแบ่งปัน จึงคุ้นเคยกับนิยาม Sharing Economy เป็นอย่างดี
ถ้าธุรกิจนี้เริ่มเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย แน่นอนธุรกิจดั้งเดิมไม่ว่าจะเป็นอพาร์ทเม้นท์ เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ หรือคอนโดปล่อยเช่า ย่อมจะต้องสูญเสียลูกค้าบางส่วนของกลุ่มนี้ไปอย่างแน่นอน ทางแก้ง่ายๆก็คือ จะต้องผันตัวเองไปทำธุรกิจแบบนี้แทนธุรกิจแบบเดิมๆที่เคยทำมา
Credit pictures
https://www.dezeen.com/
https://www.pmi.org/learning/library/simple-social-co-living-housing-10749
คอลัมนิสต์
เรื่อง : กิติชัย เตชะงามเลิศ ผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านการลงทุน หนังสือ “จาก 1 ล้านเป็น 500 ล้าน ผมทำอย่างไร” เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆหนังสือ “ออมจากน้อยเป็นร้อยล้าน” แนะวิธีออมเงินเพียงเดือนละหลักพัน ก็เป็นเศรษฐี 100 ล้าน ก่อนอายุ 50 ปี!ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai Twitter : http://twitter.com/value_talk Instagram : Gid_KitichaiBlog website : https://kitichai1.blogspot.com You Tube : http://www.youtube.com/c/KitichaiTaechangamlert |