“โฮมโปร” หรือ HMPRO เผยรายได้ครึ่งปี 66 มีรายได้รวม 37,154.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,174.47 ล้านบาท หรือ 9.34% มีผลมาจากช่วงฤดูร้อนของประเทศไทย โดยในปีนี้ ค่าเฉลี่ยของอุณหภูมิสูงขึ้นกว่าหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าของบริษัทฯ ในกลุ่มเครื่องทำความเย็น อาทิ เครื่องปรับอากาศ พัดลม และ พัดลมไอน้ำ เติบโตสูงขึ้นกว่าปกติ ทำให้โฮมโปร มีกำไรสุทธิครึ่งปีแรก 3,230.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 199.97 ล้านบาท หรือ 6.60% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
นายวีรพันธ์ อังสุมาลี กรรมการผู้จัดการบริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ โฮมโปร เปิดเผยถึงการดำเนินงานงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2566 ว่า บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิสำหรับครึ่งปีแรก เท่ากับ 3,230.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 199.97 ล้านบาท หรือ 6.60% โดยมีรายได้รวม 37,154.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,174.47 ล้านบาท หรือ 9.34% ซึ่งประกอบไปด้วยรายได้จากสัญญาที่ทำกับลูกค้า ซึ่งประกอบไปด้วยรายได้จากการขายสินค้า และรายได้จากการให้บริการลูกค้า (Home Service) รวมจำนวน 35,012.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,932.76 ล้านบาท หรือ 9.14%
โดยการปรับตัวเพิ่มขึ้นดังกล่าว เป็นผลมาจากในช่วงไตรมาส 2 นั้น เป็นช่วงฤดูร้อนของประเทศไทย โดยในปีนี้ ค่าเฉลี่ยของอุณหภูมิสูงขึ้นกว่าหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคม ส่งผลให้ยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าของบริษัทฯ ในกลุ่มเครื่องทำความเย็น อาทิ เครื่องปรับอากาศ พัดลม และ พัดลมไอน้ำ เติบโตสูงขึ้นกว่าปกติ อีกทั้งบริษัทฯ ยังได้มีการจัดแคมเปญ ‘เก่ามีค่า นำมาแลกใหม่’ หรือ ‘Trade-in’ ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจในการจำหน่ายสินค้า รวมทั้งส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างยั่งยืน โดยลูกค้าสามารถนำสินค้าชิ้นเก่า อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องปั๊มน้ำ เฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ มาแลกรับส่วนลดในการซื้อสินค้าชิ้นใหม่ในประเภทเดียวกันได้ รวมถึงการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ ทั้งช่องทางสาขา และออนไลน์ เพื่อกระตุ้นยอดขาย ได้แก่ กิจกรรม HomePro Expo 2023 ในช่วงไตรมาส 1 HomePro Super Expo ในช่วงไตรมาส 2 และกิจกรรม Double Day ในทุกเดือน
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีรายได้ค่าเช่า 940.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 124.96 ล้านบาท หรือ 15.32% จากปีก่อน เป็นผลมาจากการจัดเก็บรายได้ค่าเช่าพื้นที่เช่าในสาขาของโฮมโปรและศูนย์การค้ามาร์เก็ตวิลเลจได้มากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยว และมีรายได้อื่นอีก 1,201.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 116.75 ล้านบาท หรือ 10.76% โดยเป็นผลมาจากการเพิ่มการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับคู่ค้าทั้งในช่องทางสาขาและช่องทางออนไลน์
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจากการขายสินค้าและการให้บริการลูกค้า (Home Service) รวมจำนวน 9,172.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 880.24 ล้านบาท หรือ 10.62% โดยอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขาย เพิ่มขึ้นจาก 25.85% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 26.20% ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงส่วนผสมของกลุ่มสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง และการได้รับส่วนลดจากคู่ค้าที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มสินค้าที่มียอดขายสูงขึ้นตามฤดูกาล
นายวีรพันธ์ กล่าวอีกว่า สำหรับการขยายสาขาในไตรมาสที่ 2 ยังคงดำเนินการตามแผนที่กำหนดไว้ โดยบริษัทฯ มีการเปิดสาขาเมกาโฮมใหม่ จำนวน 3 สาขา ได้แก่ สาขานครปฐม เชียงใหม่ และบางแสน รวมถึงมีการปิดโฮมโปร สาขาโลตัส บางแค เพื่อเตรียมเปิดสาขาใหม่สำหรับช่วงไตรมาสที่ 3 ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 บริษัทฯ มีโฮมโปร 86 สาขา โฮมโปรเอส 5 สาขา เมกาโฮม 24 สาขา และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย 7 สาขา
“ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 2 ปี 2566 มีแนวโน้มขยายตัว จากการบริโภคของภาคเอกชนที่เพิ่มสูงขึ้น โดยปัจจัยหลักยังคงมาจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีรายได้สูงขึ้นและเกิดการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังคงดูสดใส ในช่วงปลายไตรมาส 2 ผู้บริโภคยังมีความกังวลต่อผลกระทบจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางด้านการเมือง ในเรื่องความล่าช้าของการจัดตั้งรัฐบาล หลังจากการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในช่วงเดือนพฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา รวมถึงผลกระทบของยอดส่งออกที่ลดลงจากอุปสงค์ทั่วโลกที่อ่อนตัวลง ส่งผลให้ภาคธุรกิจยังคงต้องระมัดระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมถึงวางแผนกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจที่รัดกุม และเหมาะสมอีกด้วย” นายวีรพันธ์ กล่าวปิดท้าย