เอสซีจี รุกธุรกิจพลังงานสะอาดครบวงจร ลดต้นทุน แก้ปัญหาพลังงาน ค่าไฟพุ่งสูง หนุนเศรษฐกิจอาเซียนฟื้นตัว รองรับเมกกะเทรนด์รักษ์โลก ตั้งเป้าโต 4 เท่าในปีนี้ ปักธง เอสซีจี คลีนเนอร์ยี่ ผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เจาะกลุ่มลูกค้ากลุ่มนิคมอุตสาหกรรม โรงงาน บริษัทขนาดใหญ่ ห้างสรรพสินค้า โรงแรม โรงพยาบาล ที่ใช้ไฟฟ้าจำนวนมากแต่ต้องการลดต้นทุนค่าไฟ โดดเด่นด้วยนวัตกรรมระบบเครือข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ Smart Grid เทคโนโลยีโดรน-หุ่นยนต์เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน สะดวกด้วยบริการครบวงจร นอกจากนี้ ยังพัฒนาเม็ดพลังงานชีวมวลคุณภาพสูง จากวัสดุเหลือใช้การเกษตร
นายอรรถพงศ์ สถิตมโนธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีจี คลีนเนอร์ยี่ จำกัด กล่าวว่า “เอสซีจีได้ลดต้นทุนด้วยการใช้พลังงานสะอาดในกระบวนการผลิต และมีความเชี่ยวชาญ สามารถต่อยอดเป็น “ธุรกิจให้บริการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดครบวงจร” ช่วยแก้วิกฤตต้นทุนพลังงานและไฟฟ้าพุ่งสูง เน้นกลุ่มลูกค้าที่ใช้ไฟฟ้าปริมาณมากและต่อเนื่อง แต่ต้องการลดต้นทุนค่าไฟ อาทิ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เครือข่ายโรงงาน โรงแรม ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล โดยมีบริการครบวงจร อาทิ การขออนุญาตติดตั้ง การคำนวณงบฯ ลงทุนและการคืนทุน การซ่อมบำรุง ดูแลรักษา เอสซีจี คลีนเนอร์ยี่ พร้อมส่งมอบการให้บริการที่สร้างความมั่นใจให้ลูกค้าด้วย
3 จุดเด่น คือ
- “ซื้อ–ขายไฟ Smart Grid” คุ้มค่า ลดต้นทุนพลังงานจากกระแสไฟฟ้าที่ผลิตโดยแผงโซลาร์ซึ่งติดตั้งทั้งบนพื้นดิน หลังคา ผืนน้ำ และที่ดินว่างเปล่า โดยสามารถซื้อ-ขายไฟฟ้าได้ เมื่อผลิตเกินความต้องการใช้ ด้วยนวัตกรรมระบบเครือข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid)
- “คู่คิดครบวงจร” อำนวยความสะดวก ด้วยทีมวิศวกรมืออาชีพที่ให้คำปรึกษาทั้งก่อน – หลังติดตั้งแผงโซลาร์ตลอดอายุสัญญา อาทิ การขออนุญาตติดตั้งแผงโซลาร์ การคำนวณต้นทุนและกำลังการผลิตที่เหมาะสม การซ่อมบำรุง
- “ดูแลทุกขั้นตอนด้วยโรบอท” สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ด้วยเทคโนโลยีโดรนบินสำรวจแผงโซลาร์ที่ชำรุด (Drone Inspection) แจ้งเตือนให้ซ่อมบำรุง และ หุ่นยนต์ทำความสะอาดแผงโซลาร์ (Robot Cleaning)
เอสซีจี คลีนเนอร์ยี่ มีฐานลูกค้าซึ่งเป็นองค์กรชั้นนำขนาดใหญ่ทั้งในไทยและอาเซียน อาทิ โตโยต้า
ศูนย์ผลิตผลิตภัณฑ์จากพลาสมาศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย มีกำลังการผลิตรวมกว่า 234 เมกกะวัตต์ ล่าสุดติดตั้งแล้วที่กลุ่มบริษัทสหยูเนี่ยน บางปะกง ช่วยลดต้นทุนพลังงานร้อยละ 30 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 3,700 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 4 เท่าภายในปี 2566 กำหนดงบฯ ลงทุน วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีกว่า 3,000 ล้านบาท เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมให้ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าที่รักษ์โลก”
นายวิสุทธ จงเจริญกิจ Green Circularity Business Director เอสซีจี กล่าวว่า “เพื่อลดการใช้พลังงานที่มีราคาพุ่งสูง ประกอบกับประเทศไทยมีเศษวัสดุทางการเกษตร เช่น ฟางข้าว ใบอ้อย เปลือกข้าวโพด ประมาณ 21 ล้านตันต่อปี หากกำจัดด้วยวิธีการเผาจะก่อให้เกิดมลภาวะทั้งหมอก ควัน ฝุ่นละออง PM 2.5 และภาวะโลกร้อน เอสซีจีจึงนำความเชี่ยวชาญด้านพลังงานโดยใช้เทคโนโลยีการบีบอัดเศษวัสดุที่ทันสมัยให้เป็น เม็ดพลังงานชีวมวล (Energy Pellet) สำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทน ปี 2565 เอสซีจีได้เพิ่มสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงทดแทนเป็นร้อยละ 34 จากร้อยละ 26 ในปีก่อน ทั้งนี้ เอสซีจีได้รับซื้อวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรกว่า 300,000 ตัน ทั้งใบอ้อย เปลือกข้าวโพด รากยางพารา ฟางข้าว แกลบ และอื่นๆ จากพื้นที่จังหวัดรอบโรงงานปูนซีเมนต์ในจังหวัดสระบุรี ลพบุรี กาญจนบุรี อยุธยา ลำปาง เชียงใหม่ เชียงราย นครศรีธรรมราช นครราชสีมา และเร่งพัฒนาเม็ดพลังงานชีวมวลในหลายรูปแบบ ทั้งชีวมวลประสิทธิภาพสูง (High Efficiency Renewable Fuel) ทั้งด้านการใช้งาน และค่าพลังงานอื่น ๆ เพื่อขยายเป็นธุรกิจในอนาคตด้วย””
“เอสซีจีเชื่อมั่นว่า การขยายธุรกิจพลังงานสะอาด ทั้งจากการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์และพลังงานชีวมวล จะมีศักยภาพสูง ตอบโจทย์ความคุ้มค่าและความสะดวกของลูกค้าตามเมกกะเทรนด์รักษ์โลก และแนวทาง ESG 4 Plus ที่เอสซีจีและเครือข่ายผู้ประกอบการต่าง ๆ มีส่วนร่วมกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (คาร์บอนไดออกไซด์)
สุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ตามเป้าหมายประเทศและโลกด้วย” นายอรรถพงศ์กล่าวสรุป