ในฉบับที่แล้ว เราจะกล่าวแล้วว่า ทันทีที่มีศัตรูเข้ารุกรานร่างกายเรา เม็ดเลือดขาวที่เป็นทหารกองหน้าหรือทหารยามก็จะเข้าต่อสู้กับศัตรูทันที โดยไม่เลือกว่าเป็นศัตรูชนิดไหน สู้ทั้งหมด และเม็ดเลือดขาวตัวหลักที่เรียกว่า Neutrophil จะสู้แบบยอมตายคือ ตายไปพร้อมกับศัตรู
ขณะเดียวกันจะมีเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่เป็นสายลับ 007 ที่เรียกว่า Dendritic Cell ทำหน้าที่สอดแนม หาความลับข้าศึก จุดอ่อน และลักษณะต่างๆ ของข้าศึก และนำข้อมูลหรือพิมพ์เขียว หรือภาษาแพทย์เรียกว่า Antigen ไปแจ้งกับต่อมน้ำเหลือง เพื่อให้สร้างเม็ดน้ำเหลืองออกมา เป็นกองทัพหลวง เข้ามาร่วมต่อสู้กับข้าศึก กองทัพหลวงนี้จะจัดตั้งและออกแบบตามพิมพ์เขียว มีประสิทธิภาพสูงเพื่อต่อสู้กับข้าศึกชนิดนั้นเท่านั้น ไม่สนใจกำจัดข้าศึกแบบอื่น เช่น ถ้าร่างกายถูกโจมตีด้วยเชื้อ covid-19 เม็ดน้ำเหลืองที่เกิดขึ้นจะเข้าทำลายแต่ covid19 เท่านั้น ไม่มีผลต่อเชื้อโรคอื่นๆ กล่าวได้ว่า มีประสิทธิภาพสูงขึ้นแต่มีความจำเพาะเจาะจงอย่างมาก นอกจากนั้นเม็ดน้ำเหลืองยังสร้าง Memory Cell เป็นการบันทึกความจำว่า ถ้ามีลักษณะแบบนี้เป็นศัตรูนะ ถ้าภายหน้าถูกศัตรูเหมือนเดิมรุกรานอีก ร่างกายจะมีการความทรงจำและสร้างกองทัพหลวงขึ้นทันที โดยไม่ต้องรอสายลับ 007 นำเอาพิมพ์เขียวมาให้ จะใช้เวลาแค่ 1 – 3 วันเท่านั้น ดังนั้นกองทัพหลวงจะสามารถร่วมมือกับกองทัพหน้า มีกำลังเข้มแข็งเอาชนะศัตรูได้โดยง่าย
การสร้างเม็ดน้ำเหลืองจากพิมพ์เขียว หรือ Antigen ที่ได้รับนั้น จะช้าหรือเร็วแล้วแต่ตามสมบูรณ์ แข็งแรง และอายุของคนๆนั้น ซึ่งมีระยะตั้งแต่ 5 – 21 วัน ดังนั้นคนที่มีภูมิคุ้มกันร่างกายดี คือ คนที่ใช้เวลาอันสั้นสาสมารถสร้างกองทัพหลวงออกไปช่วยกองทัพหน้ารบได้
เม็ดน้ำเหลืองที่สร้างขึ้นมาตามพิมพ์เขียวนั้นจะมี 2 ประเภท
ประเภทแรกเรียกว่า B cell หรือ B lymphocyte จะสร้างสารพิษที่เรียกว่า Antibody หรือ Immunoglobulin (Ig) ตามพิมพ์เขียวที่เป็นลักษณะของศัตรูที่เราเรียกว่า Antigen เมื่อ Antibody ไปจับทำลายกับศัตรู จึงเรียกว่า การเกิด Antigen – Antibody reaction
อีกประเภทหนึ่งเรียกว่า T Cell หรือ T-lymphocyte จะสร้างเซลล์เม็ดน้ำเหลืองต่างๆ เช่น T effector cell มีหน้าที่ทำลายศัตรู, T Memory Cell เป็นหน่วยความจำและ T cell cytotoxicity ที่มีลักษณะการทำงานแบบเดียวกับ NK Cell คือบังคับให้เซลล์นี้เปลี่ยนแปลงไปจากการติดเชื้อ หรือกลายพันธุ์ ฆ่าตัวตาย ด้วยกระบวนการ Apoptosis แต่มีความจำเพาะเจาะจงเฉพาะศัตรูตามพิมพ์เขียวความเข้าใจในวิชาภูมิคุ้มกันวิทยา หรือ Immunology นี้ ทำให้แพทย์สามารถสร้างประโยชน์ต่างๆ ขึ้นมาอีกมาก ตัวอย่างยอดฮิตในปัจจุบัน คือวัคซีน ซึ่งค้นพบโดย
นายแพทย์ Edward Jenner ชาวอังกฤษตั้งแต่ปี 1796 ครั้งแรกนี้เป็นวัคซีนเพื่อป้องกันไข้ทรพิษ หรือฝีดาษ หรือ Small pox โดยนำหนองของฝีดาษของหญิงรีดนมวัวที่เกิดฝีดาษวัว หรือ Cowpox ที่เก็บไว้ มาใส่แขนคนที่ยังไม่ป่วย โดยกรีดให้เป็นแผลและทาหนองลงไป สิ่งที่ทาลงไป คือเชื้อไวรัสที่ตายแล้ว เพราะเก็บรักษาไว้ในระยะหนึ่ง ปรากฏว่าคนที่ได้รับเชื้อตาย จะเป็นฝีดาษที่ไม่เกิดอาการรุนแรงเพียงแต่มีอาการเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยนายแพทย์ Edward Jenner ได้รับแนวความคิดมาจากการนำสะเก็ดแผลคนไข้ที่เป็นไข้ทรพิษมาเผาให้สูดดมด้วย หรือเอาสำลีชุบหนองจากฝีดาษมาใส่ในจมูกคนปกติ โดยได้ผลการป้องกันโรคได้ในบางคนเท่านั้น วิธีโบราณนี้เดิมเริ่มจากเมืองจีนสมัยโบราณและกระจายเข้าไปในตะวันออกกลางและยุโรป ในสมัยนั้นยังไม่มีความรู้ เรื่องภูมิคุ้มกัน จึงอธิบายว่าเป็นการถ่ายเทพิษ หรือถ้าใครเคยอ่านนิยายกำลังภายในจะเรียกว่า พิษขจัดพิษ นั่นเอง
ดังนั้น คำว่าวัคซีน หรือ Vaccine นั้นมีรากศัพท์จากภาษาละตินว่า Vacca แปลว่า มาจากวัว จะเห็นว่าเชื้อไวรัสฝีดาษที่ป้ายให้แก่คน คือเชื้อโรคที่ตายแล้ว ไม่ก่อให้เกิดอันตรายหรือเกิดโรคได้ แต่โปรตีนที่เป็นส่วนประกอบของเชื้อฝีดาษยังอยู่ จะกระตุ้นให้ร่างกายต่อสู้ และสร้างกองทัพหลวง หรือเม็ดน้ำเหลืองออกมา สิ่งที่เราได้คือ Memory Cell ครั้งหน้าถ้าถูกเชื้อฝีดาษรุกรานอีก ร่างกายก็จะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาจากความทรงจำ ทำให้ไม่ป่วยจนมีอาการรุนแรง จะเห็นว่าการใช้วัคซีนตั้งแต่สมัยโบราณจะช่วยป้องกันอาการรุนแรงเท่านั้น ไม่ใช่ป้องกันไม่ให้ติดเชื้อโรคและคุณภาพกับแนวความคิดของวัคซีนก็ยังเหมือนเดิม ถึงแม้ว่าจะผ่านมาหลายร้อยปีแล้วก็ตาม
สำหรับประเทศไทยนั้นวัคซีนเข้ามาเป็นครั้งแรกโดย บาทหลวงบรัดเลย์ ในสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษ ต่อมามีการพัฒนาวัคซีนขึ้น มาหลายชนิด เช่น วัคซีนพิษสุนัขบ้า วัคซีนบาดทะยัก วัคซีนโรคระบาดต่างๆ ในเด็ก และมีการก่อตั้งสภาเสาวภาขึ้นมา
มีเรื่องตลกคือเรื่องการต่อต้านการฉีดวัคซีนมีมาตั้งแต่สมัยนายแพทย์ Edward Jenner เช่นกันเหมือนกับในสมัยนี้ คนต่อต้านบอกว่า ถ้าเอาหนองจากฝีดาษวัวมาป้ายเข้าร่างกาย จะทำให้คนกลายเป็นวัวไปในที่สุด
วัคซีน covid ที่เป็นแบบเชื้อตายหรือเชื้อสิ้นฤทธิ์ เช่น Sinovac และ Sinopharm ที่ผลิตจากเมืองจีนนั้น เป็นการสร้างวัคซีนตามแนวความคิดเดิมที่ทำมาหลายร้อยปีแล้ว ข้อดีคือไม่น่ามีผลข้างเคียงใดๆ ในระยะยาว เพราะใช้มานานแล้ว และเกิดภูมิคุ้มกัน และ Memory ต่อทุกๆ ส่วนของเชื้อไวรัส แต่ถ้ามาตรวจภูมิคุ้มกันเฉพาะหนามแหลมหรือ Spike ตามที่ตรวจกันในห้องปฏิบัติการทุกๆ แห่งนั้น ก็คงจะได้ภูมิคุ้มกันต่ำกว่าวัคซีนชนิดอื่นที่สร้างจากหนามแหลมโดยตรง ข้อดีอีกอย่างคือ ถ้าเชื้อไวรัสเกิดการกลายพันธุ์ตรงที่หนามแหลมแล้ว วัคซีนแบบเชื้อตายยังทำงานได้อยู่ และถ้าผลิตวัคซีนชนิดใหม่จากส่วนอื่นของเชื้อไวรัส คนที่ได้รับวัคซีนชนิดเชื้อตายก็จะมี Memory ต่อเชื้อไวรัสที่ทั้งตัว ดังนั้นการฉีดชนิดใหม่ที่ผลิตจากส่วนอื่นของไวรัสก็จะเป็นการฉีดเพื่อกระตุ้นเท่านั้น ไม่เหมือนคนที่ฉีดวัคซีนที่ผลิตจากหนามแหลม ร่างกายจะไม่มี Memory ต่อส่วนอื่นๆ ของไวรัสและอาจต้องเป็นการฉีด เพื่อตั้งต้นใหม่ ดังนั้นในปัจจุบันจึงเริ่มมีแนวความคิดว่าวัคซีนเข็มแรก ที่เป็น Primer นั้น ควรเป็นวัคซีนเชื้อตายเพื่อให้ร่างกายเกิด Memory ต่อไวรัสทั้งตัว
ข้อเสียหลักของวัคซีนเชื้อตายคือกระบวนการผลิตใช้เวลานาน และต้นทุนสูง ต้องเลี้ยงเชื้อไวรัสให้ได้ปริมาณมากพอควร แล้วทำให้ตายเพื่อไปผลิตวัคซีน ห้องที่ใช้เลี้ยงก็ต้องเป็นห้องที่มี Biosafety ในระดับสูงสุด ไม่ให้เชื้อเล็ดรอดออกมาติดผู้คนได้ ซึ่งไม่เหมาะกับอุตสาหกรรมยาที่ต้องการต้นทุนต่ำ กำไรสูง
เมื่อเทคโนโลยีและความรู้การแพทย์เจริญขึ้นทำให้เราทราบว่าการที่เชื้อโควิคจะสู่เข้าสู่เซลล์มนุษย์ได้นั้น ต้องใช้หนามแหลมหรือ Spike เจาะเข้ามา จึงเกิดแนวความคิดที่จะสร้างภูมิคุ้มกันเฉพาะส่วนหนามแหลม เพื่อจะทำให้ได้ภูมิคุ้มกันที่สูงกว่า และหาพาหะที่ไม่ก่อโรคในคน นำโปรตีนของหนามแหลมเข้าสู่ต่อมน้ำเหลือง จึงเป็นที่มาของวัคซีนชนิด Viral Factor เช่น AstraZeneca, Johnson & Johnson และ Sputnik Five เป็นต้น
เมื่อวิทยาศาสตร์การแพทย์เจริญขึ้นอีก เราสามารถถอดรหัสพันธุกรรมของโปรตีนหนามแหลมของเชื้อโควิดได้ จึงสามารถสร้างรหัสพันธุกรรมของโปรตีนหนามแหลม ในรูปของ mRNA ในห้องทดลอง แล้วฉีดเข้าไปในร่างกายเพื่อให้สร้างภูมิคุ้มกันเฉพาะหนามแหลมนั้นได้
การตรวจเจาะเลือด ไปตรวจภูมิคุ้มกันนั้นเราเรียกว่า เป็นการตรวจ Antibody ชนิด IgG (Immunoglobin G) ที่มีต่อหนามแหลมเท่านั้น ไม่ได้ตรวจส่วนของ T cell หรือ ตัวอื่นๆ ดังนั้นวัคซีนที่สร้างจากหนามแหลมโดยเฉพาะจึงให้ค่าภูมิคุ้มกันที่สูงกว่าวัคซีนที่ผลิตจากเชื้อตายเสมอ
ทำไมเราต้องตรวจ Antibody ชนิด IgG เพราะเป็นภูมิคุ้มกันทัพหลวงที่พร้อมรบ เมื่อสร้างขึ้นมาแล้ว จากการติดเชื้อไวรัสโควิดหรือการฉีดวัคซีน จะลอยอยู่ในกระแสเลือดเป็นระยะเวลาหนึ่ง เช่น 3 เดือน 6 เดือน แล้วแต่อายุของแต่ละคน IgG จะเป็นเหมือนหน่วยพร้อมรบ โจมตีไวรัสโควิดที่รุกรานทันทีที่เข้ามาในร่างกาย แต่ถ้า IgG สลายตัวไปหมด Memory Cell ยังคงอยู่ ร่างกายก็สามารถสร้างภูมิคุ้มกันแบบทัพหลวงจากเม็ดน้ำเหลืองขึ้นมาได้ แต่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1-3 วัน เนื่องจากเชื้อไวรัสโควิดมีระยะฟักตัว หรือ Incubation period สั้น เวลา 1-3 วัน มันอาจแบ่งตัวได้ปริมาณมากจนลงไปปอดแล้ว ร่างกายเราจึงจำเป็นต้องมี IgG ตลอดเวลา เป็นเหตุผลของการฉีดวัคซีน Booster เพื่อกระตุ้นบ่อยๆ
วัคซีนก็เช่นเดียวกันกับยาชนิดอื่นๆ ที่อาจเกิดผลแทรกซ้อนหรือผลที่ไม่พึงประสงค์ได้เสมอ ในระดับที่แตกต่างกันไป เพราะทุกคนแตกต่างกันทั้งสิ้น ไม่มีใครเหมือนกันทุกประการเลย นอกจากนั้นการควบคุมโรคระบาดยังขึ้นกับความนิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมในสังคมนั้นๆ การใช้ยารักษาหรือป้องกันในคนหมู่มาก เขาใช้เกณฑ์เฉลี่ยว่าได้ผลดีมากกว่าผลเสีย แต่ไม่ใช่จะได้ผลดี 100% ซึ่งในขณะนี้มีการได้มีสถิติรายงานออกมาแล้วว่า คนที่ฉีดวัคซีน 1 ล้านคนเกิดโรคแทรกซ้อนจนถึงแก่ชีวิต 0.04 คน แต่คนที่ติดเชื้อโควิด 1 ล้านคน เสียชีวิต 1490 คน เราเลือกกันเองก็แล้วกันว่าจะเสี่ยงแบบไหนดี ซึ่งสถิติอันนี้อาจต่ำกว่าโอกาสจะถูกรถชนตายบนถนนเมืองไทยอีก
ความรู้เรื่องภูมิคุ้มกันนำไปประยุกต์ใช้สำคัญอีกอย่างหนึ่ง เพิ่งนำมาใช้ในไม่กี่ปีนี้ คือ การให้ภูมิคุ้มกันรักษาโรคมะเร็งที่เรียกว่า Immune therapy โดยเราทราบว่าเมื่อเซลล์เกิดการกลายพันธุ์หรือเปลี่ยนแปลงจนเป็นมะเร็ง สัญลักษณ์บอกฝ่ายว่าเป็นพวกเดียวกันที่ของผนังเซลล์ที่เรียกว่า MHC หรือ Major histocompatibility Complex จะเปลี่ยนไป ร่างกายจะบอกว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมทันทีและ NK cell หรือ Natural Killer Cell จะตรงเข้ามาทำลายเซลล์สิ่งแปลกปลอม แต่เซลล์มะเร็งจะปลอมตัวเหมือนทหารเอาเครื่องแบบศัตรูมาใส่เพื่อหลอกว่าเป็นพวกเดียวกัน หรือเซลล์มะเร็งจะปล่อยสารเพื่อป้องกันไม่ให้มีการตรวจสอบว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมได้ การใช้ Immune therapy คือการไปทำลายคราบปลอมแปลง ทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายทำงานได้ ซึ่งควรได้ผลกับมะเร็งทุกชนิด แต่ในการใช้งานจริงๆ กลับได้ผลดีในเมล็ดมะเร็งปอดและมะเร็งผิวหนังชนิด melanoma เท่านั้น มะเร็งชนิดอื่นๆ ให้ผลดี เป็นเปอร์เซ็นต์ที่แตกต่างกันไป ปัจจุบันยาชนิดภูมิคุ้มกันบำบัด มีจำหน่ายในประเทศไทยแล้วและเท่าที่ทราบคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กำลังทำวิจัยศึกษาเรื่องนี้อย่างมาก เพื่อหวังว่าจะเป็นยาภูมิคุ้มกันที่มีราคาถูกลงมาใช้กับคนไทย
ไม่กี่วันมานี้ทางบริษัท AstraZeneca ได้ใช้ความรู้เรื่องภูมิคุ้มกันผลิตยา Long Acting Antibody (LAAB) เพื่อฉีดไปในคนที่ร่างกายอ่อนแอหรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ทำให้เมื่อฉีดวัคซีนแล้วร่างกายไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาได้ ทำให้เมื่อป่วยเป็นโควิดจะมีอัตราการตายที่สูงมาก ยาตัวใหม่นี้เป็นการฉีดภูมิคุ้มกันประเภท Antibody ที่ร่างกายสร้างจาก B lymphocyte เข้าไปโดยตรง ซึ่งให้ได้ทั้งในการรักษาและการป้องกันโลกแถมอยู่ได้นานถึง 6 – 12 เดือนด้วย เรียกว่าอยู่นานกว่าภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการฉีดวัคซีน มีชื่อทางการค้าว่า Evusheld (อีวูเชลด์)
ตอนหน้าจะเป็นแนวทางป้องกันโรคว่าควรทำอย่างไรจึงจะไม่ป่วยที่ตรงกับแนวคิดที่ว่าป้องกันก่อนเจ็บรักษาก่อนป่วย
วท.บ., พ.บ., ว.ว.ศัลยศาสตร์ทั่วไป อ.ว.ศัลยศาสตร์ล าไส้ใหญ่ทวารหนัก , อ.ว.ศัลยศาสตร์มะเร็งวิทยา F.R.C.S (Edinburgh), F.R.C.S (Ireland), F.A.C.S, F.I.C.S, F.R.S.M
(London), FAM(Malaysia), FCS (Sri Lanka) อดีตประธานราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย