ยุค 5.0 เป็นทั้งโอกาสและอุปสรรคสำหรับ SME
จริงอยู่ที่ว่าความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนั้น ทำให้ขนาดของบริษัทไม่ได้เสียเปรียบมากมายเฉกเช่นอดีตที่บริษัทใหญ่เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยี
แต่ทว่าปัจจุบันใครๆก็สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้ ในต้นทุนที่ถูกลงหรือกระทั่งฟรีเสียด้วยซ้ำ
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า SME จะมีเปรียบเหนือบริษัทใหญ่แต่อย่างใด
ที่บอกกันต่อๆมาว่า โลกธุรกิจ 5.0 โลกไม่ได้กลม แต่โลกแบบ ตามหนังสือ The World is flat ซึ่งหมายความว่า SME ไม่ได้ถูกบริษัทใหญ่ทิ้งห่างกันแบบสุดกู่อีกต่อไป
แต่ทว่าหนังสือ The World is Flat คงจะเขียนมาหลายปีแล้วกระมัง
ในรอบ 4-5 ปีมานี้โลกเปลี่ยนแปลงในอัตราทวีคูณ
เป็น Disruptive World ที่ใครเผลอกระพริบตาก็อาจจะจบเห่ได้เลยทีเดียวเชียว
อย่าว่าแต่ SME ไปสู้รบปรบมือกับบริษัทใหญ่เลย บริษัทยักษ์ใหญ่รายใดรประมาทเลินเล่อ ก็ถึงกาลอวสานเช่นเดียวกัน
หวังว่าคงจำสองยักษ์มือถือของโลก
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2007 เบอร์หนึ่งมือถือก็คือโนเกีย
ขณะที่แบล็คเบอรี่ ก็คือเบอร์หนึ่งของสมาร์ทโฟน (ซึ่งในตอนนั้นตลาดยังเล็ก และสมาร์ทโฟนของ BB ก็แตกต่างจากสมาร์ทโฟนในปัจจุบัน
แบล็คเบอรี่ในเวลานั้นคงคิดว่าตนเองคงกุมตลาดสมาร์ทโฟนเอาไว้ในมือได้ และถึงจะมีสมาร์ทโฟนอื่นใดก็คงยากที่จะตีชิงความเป็นเจ้าตลาดไปจากตนได้
วิธีคิดเช่นนี้เป็นการมองตลาดสมาร์ทโฟนในสายตาของเจ้าตลาดเดิม ที่มองว่าสมาร์ทโฟนก็ต้องเป็นรูปแบบเหมือนบีบีเท่านั้นถึงจะเรียกว่าสมาร์ทโฟน
ก็ต้องบอกว่าบีบีคิดผิดอย่างมากเพราะไอโฟนคือตัวเปลี่ยนเกมอย่างแท้จริง
ไม่ได้เปลี่ยนเกมโทรศัพท์มือถือเท่านั้น แต่ทว่ามือถือนั้นคืออุปกรณ์ที่เปลี่ยนโลก
บีบีเอนจอยกับตลาดสมาร์ทโฟนที่ใหญ่ขึ้นช่วงแรก ทว่าเมื่อแอนดรอยด์เข้าสู่เกม สมาร์ทโฟนในรูปแบบของบีบีก็กลายเป็นอดีต
ซึ่งหมายความว่าบีบีก็จะกลายเป็นอดีต ถูกเตะออกไปจากเวทีการแข่งขัน เช่นเดียวกับโนเกีย
โนเกียเป็นเบอร์หนึ่งของโลกมาอย่างยาวนาน เจริญเติบโตตามตลาดมือถือที่โตวันโตคืน
แต่เมื่อเผชิญหน้าไอโฟน ซึ่งจริงๆแล้วก็อยู่คนละตลาด
โนเกียก็ไม่สามารถแข่งขันได้ในเกมใหม่นี้อีกต่อไป ทั้งๆที่หากโนเกียไม่แข็งขืน ยอมรับในแอนดรอยด์ซะก็สิ้นเรื่อง แต่ทว่าโนเกียซึ่งเป็นเบอร์หนึ่ง ยิ่งตกมาอยู่ในมือของไมโครซอฟท์ซึ่งก็เป็นเบอร์หนึ่งเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเบอร์หนึ่งของทั้งสองนั้นไม่ใช่เบอร์หนึ่งในยุคก่อน
เป็นเบอร์หนึ่งแห่งการโรยราที่รอวันถูกปลิดปลง!!!
ขนาดเบอร์หนึ่งในตลาดโลกยังตกอยู่สภาพเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่า SME จะเป็นเช่นไร
หากไม่อ่านสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
หรือเมื่ออ่านสถานการณ์แล้ว แต่ไม่ยอมรับสภาพความเป็นจริง
ไม่ปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว อย่าว่าแต่ SME เลย ต่อให้เป็นเบอร์หนึ่งก็ไม่รอด!!!
HyBrid SME
โลก 5.0 เป็นยุคโลกแบน
หมายความว่าเทคโนโลยีที่แต่ก่อนสงวนไว้สำหรับบริษัทบิ๊กๆนั้น ปัจจุบัน SME ก็ใช้เทคโนโลยีนั้นได้ แม้จะในระดับที่ด้อยกว่าก็ตาม
มันเหมือนกับว่าผู้ประกอบการสามารถทำได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตามที่ตนเองต้องการ เพราะยุคนี้เป็นยุคแห่งโอกาส ทุกอย่างเป็นไปได้หมดขอให้ใจปรารถนาเท่านั้นเอง
มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ
สำหรับบางคน ก็ต้องตอบว่าใช่นั่นแหละ
ผู้ประกอบการบางคน สามารถทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ และจับอะไรทุกอย่างก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด อย่างที่ฝรั่งเรียกว่า “Midas Touch” นั่นเอง
ทว่าพวกมือเงินมือทองนั้นมีไม่มากนัก
นิตยสารฟอร์บส์ ซึ่งเป็นนิตยสารธุรกิจที่โด่งดังในเรื่องการจัดอันดับเศรษฐีระดับโลกของประเทศต่างๆนั้นได้สรุปเคล็ดลับการก้าวขึ้นสู่ความเป็นอภิมหาเศรษฐีโลกเอาไว้ว่า
คนที่จะก้าวขึ้นสู่ความเป็นอภิมหาเศรษฐีนั้นจะต้องประกอบด้วยสองปัจจัยด้วยกัน นั่นคือ จังหวะเวลาและเฮง
มองเผินๆก็เหมือนว่าไม่เห็นมีอะไรเลยนะ การจะเป็นคนรวยนี่ช่างแสนจะง่ายดาย ทว่าลองถามตัวเองสักหน่อยกว่า “จังหวะเวลา” นั้นง่ายนักหรือ
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเฮง นี่ก็ยากแสนยาก
ถ้าสองปัจจัยนี้ง่ายดาย ป่านฉะนี้ก็คงจะมีคนรวยเต็มไปหมดแล้วล่ะกระมัง
เขียนมาถึงตรงนี้ทำให้นึกถึงปาฐกถาของคุณปั้น บัณฑูร ล่ำซำ ที่ให้โอวาทแก่เอสเอ็มอี ในวันเปิดเรียนหลักสูตรที่ KSME จัดขึ้นตอนหนึ่งกล่าวว่า
“ก็เรียนตำรานี้มาด้วยกันทั้งนั้น มันก็แปลกนะโลกมนุษย์นี้ ในที่สุดก็ทันกันหมด ถ้าพูดถึงตำรา
จะเรียนเมืองไทย เรียนในเมืองฝรั่ง มันก็ใช้ตำราเดียวกันทั้งนั้น
แต่ทำไมบางคนทำสำเร็จ บางคนทำไม่สำเร็จ
ผมย้อนกลับไปดูพวกที่จบมารุ่นเดียวกับผม บางคนก็สำเร็จรุ่งโรจน์ บางคนก็หายสาบสูญไปไหนก็ไม่รู้ มันก็นั่งเรียนตำราเดียวกันทั้งนั้นเมื่อสามสิบกว่าปีมาแล้ว
ก็แสดงว่าอันนี้คือความน่าสนใจในเชิงปรัชญาว่า ชีวิตมนุษย์มันก็เป็นอย่างนี้
ทั้งวัดดวง…
วัดฝีมือ…
การจัดการกับชีวิตของตัวเอง
ในที่สุดมันก็คือการจัดการกับตัวเองทั้งสิ้น
เนื้อหาปาฐกถาบางตอนที่ยกมาน่าสนใจ เพราะกล่าวถึงความสำเร็จของคนที่เรียนมาด้วยกัน และจัดว่าเป็นคนที่เก่งที่สุด ไม่เช่นนั้นก็คงไม่สามารถเรียนที่ Harvard Business School ได้ เพราะเป็นโรงเรียนธุรกิจที่ดีที่สุดของโลก
วัดดวงและวัดฝีมือ…
คือทั้งเก่งและเฮง อย่างที่เขียนไปตอนต้นๆแล้วนั่นเอง
ในการวิจัยอันดับมหาเศรษฐีของนิตยสารฟอร์บส ได้ข้อสรุปที่ในการชี้ขาดปัจจัยที่ทำให้ก้าวขึ้นเป็นมหาเศรษฐีโลกก็คือ Luck และ Timing
ซึ่งปัจจัยทั้งสองนั้น บางคนมักจะบอกว่า “ดวงดี”
โชคนั้นมาจากการอยู่ถูกที่ ถูกเวลา Right Place , Right Time
ซึ่งการจะปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคนั้นอย่างเดียว บางคนอาจจะรอไปทั้งชีวิตโชคก็ยังมาไม่ถึง
เหมือนเป็นกองหน้า ซึ่งต้องทำประตู จะรอให้เพื่อนส่งบอลมาหาและโหม่งหรือยิงประตูอย่างเดียวไม่ได้ หากกองกลางทำเกมขึ้นมาไม่ได้ หรือฝ่ายตรงข้ามพับสนามบุก กองหน้ายืนค้ำในแดนหน้าคนเดียวโดดเดี่ยวเอกา ทั้งเกมกองหน้าแบบนี้อาจจะหายไปเลยก็ได้
ถ้าจะยิงประตูให้ได้ ก็ต้องปฏิบัติตัวใหม่
SME ยุคนี้จึงต้องดิ้นรนทุกวิถีทาง
แต่การเป็นกองหน้าที่เอาแต่รุกบุกอย่างเดียว โดยไม่มองสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้ขาด ตีแตกธุรกิจที่ตนเองทำอยู่ให้เป็น ก็เป็นความเสี่ยงอยู่ไม่ใช่น้อย
ดังนั้นการรุกไปข้างหน้านั้น จึงต้องวางกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมไม่มีกลยุทธ์ใดจักประสบความสำเร็จได้หากไม่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม
ก่อนหน้านี้ ถ้ามีคนมาถามว่า SME ควรทำธุรกิจเดียวหรือหลายๆธุรกิจ ผมจะบอกเลยว่าให้ทำธุรกิจเดียว เพราะการจะทำธุรกิจเดียวให้ประสบผลสำเร็จนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายอย่างที่เราไปดูจากรายการทีวี
แต่หลังจากเผชิญหน้ากับ Covid-19 ถ้ามีคนมาถามผมอีก คำตอบที่ผมให้อาจไม่เหมือนเดิม
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังการเข้ามาของ Global Pandemic นำมาซึ่งการล่มสลายของหลายธุรกิจ
SME ต้องกลายพันธุ์เป็น Hybrid SME