บาร์เซโลน่า เป็นอีกเมืองหนึ่งที่ถ้าเอ่ยถึงเราจะนึกถึง อันโทนี เกาดี ซึ่งเป็นนักสถาปนิกแห่งโลกคนหนึ่งเลยที่เดียว ที่ได้สร้างมหาวิหารที่ไม่อาจส้รางเสร็จในช่วงชีวิตเดียว และทาปาส เป็นอาหารสเปน สิ่งที่คนจะนึกถึงอยากแรกจุดเด่นคือการอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน
การเดินทาง ไป บาร์เซโลน่าในครั้งนี้ เราเลือกเดินทางโดยสายการบิน Vueling ซึ่งเดินทาง เมืองมิวนิค (Munchen) ไปสู่ประเทศสเปน บาร์เซโลน่า ซึ่ง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง หลับไปหนึ่งตื่น เราก็มาถึงสนามบินด้วยอากาศที่หนาวเย็น พร้อมกับมีฝนตกพร่ำ ๆ ทำให้เราซึ้ง เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไกลมานั้น อ่อนกำลังลงไปบ้าง พอถึงสนามบิน บาเซโรน่า เราต่อรถบัส เพื่อจะไปในใจกลางเมือง ไปยังที่พักที่เราได้ทำการจองไว้ ตลอดสองข้างทางเราได้สัมผัสถึงอารยธรรมชาวตะวันตกอย่างสวยงาม ในรถของรถบัสนั้นก็ค่อนข้างสะดวกสบายมาก
สิ่งสำคัญในการจองที่พัก เราเลือกสถานที่พักใจกลางเมืองเพราะคำนึกถึงการเดินทางเป็นพิเศษ ที่พักของเรานั้นสามารถเดินไปตามสถานที่ต่างๆ ได้เลย แสนจะสะดวกสบาย แถวร้านอาหารก็จะมีร้านอาหารที่หลากหลายและมี Supermarket สำหรับไว้ฝากท้องยามหิวดอนดึก รถบัสมาส่งถึงจุดหมายปลายทางซึ่งไม่ห่างจากที่พักมากนัก จากนั้นเราเดินเพื่อไปยังที่พัก และต้องการเอนกายเต็มที ถึงแล้วที่พัก เราเลือกพีกที่ Pol &Grace Hotel นาทีแรกได้สัมผัสถึงความคลาสิก มาก เพราะการสื่อสารด้วยศิลปะผ่านผนังที่มีหลายหลายลายเซ็นและเรื่องราว ให้กับแขกที่มาพักได้ฝากซ๊อคเกร๋ ๆกับผนังสุดแสนจะสวยงาม ช้าอยู่ใย นั่งโพสถ่ายภาพ แกร๋ ๆได้เลย ตลอดระยะเวลา 3 วัน เราเลือกพักที่นี้ทั้งหมดเลย เพราะว่ามีความสะดวกสบายมากจริง ๆ
เรามาถึงก็เย็นแล้วเลยเข้าที่พักและพักผ่อนเล็กน้อยจากนั้นเราก็ไปหาร้านอาหารใกล้ๆ ที่พอจะฝากท้องในค่ำคืนนี้ สิ่งแรกที่เราต้องกาคือ มื้อแรกต้องไปชิมอาหาร ทาปาส (Tapas) คือ ของว่างชิ้นเล็กๆ พอดีคำ หยิบมาทานกันได้ทั้งวัน และนับเป็นวัฒนธรรมทางอาหารของประเทศสเปน เช่น มะกอก ขนมปัง และชีส รวมไปถึงเนื้อหรือแฮมแผ่นบางๆ จนกลายมาเป็นอาหารระหว่างพัก เลยฝากท้องมื้อเย็นกับร้านอาหารใกล้กับโรงแรม พร้อมกับอากาศที่เหน็บหนาวเสียเหลือเกิน พอได้ทานอิ่มแล้วก็กลับมาพักผ่อนเพื่อที่จะเอาแรงมาตะลุยใหม่ในวันพรุ่งนี้
เช้ารุ่งขึ้นหลังทานอาหารเช้าที่โรงแรมเสร็จ เราก็ออกมาจากที่พัก และเดินชมเที่ยวเมืองไปเรื่อย ๆ จุดหมายเราคือ มหาวิหารซากราดาแฟมิเลีย (Sagrada Familia) สิ่งก่อสร้างระดับโลก ระหว่างทางเราก็เดินเที่ยวชมศิลปะ อย่างสวยงาม มีทั้งตึกที่เป็นอิฐ พร้อมกันปลูกต้นไม้อย่างมีสีสันที่ระเบียงดดูช่างสวยงามเหลือเกิน (อยากให้ประเทศไทยเรามีแบบนี้มั่งจัง) และยังมีศิลปะตรงประตูเหล็กฉาก ดูแล้วเพลิดเพลินมาก เราเดินมาเรื่อยๆ จนถึง หอนาฬิกา Placa De Rius I Taulet แล้วนั่งพัก เพราะระยะทางน่าจะอีกไม่นานก็น่าจะถึงมหาวิหาร ซากราดาแฟมิเลีย มุ่งหน้าเดินต่อไปเราก็จะเห็น มหาวิหารแบบไกลๆ ความงดงามก็ตระการตาตลอดทุกระยะที่เรามองเหลือเกินอดที่จะกด ซัตเตอร์ไม่ได้เลย
มหาวิหารซากราดาแฟมิเลีย (Sagrada Familia) สิ่งก่อสร้างระดับโลกSagrada Família เป็นเหมือน สัญลักษณ์ของเมือง บาเซโลน่า ประเทศสเปนวิหารนี้สร้างมาตั้งแต่ ปี 1882 จนตอนนี้ก็ยังสร้างไม่เสร็จ ระยะเวลาในการสร้างน่าจะเสร็จประมาณปี 2026-2028
มหาวิหารซากราดาแฟมิเลีย สถานที่ท่องเที่ยวอันดับหนึ่ง ในเมืองบาร์เซโลน่า และเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของสถาปนิกชื่อดังชาวคาตาลันชื่อ อันโตนิ เกาดิ (Antoni Gaudi) ด้วยความสวยงามอลังการ และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ของวิหารแห่งนี้ จึงทำให้ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ทั้งที่ยังสร้างไม่เสร็จ
ซากราดาฟามิเลีย (Sagrada Família) เป็นสัญลักษณ์ของบาร์เซโลนาชื่อเต็มๆ ว่า Temple Expiatori de la Sagrada Família มีความสูงถึง 170 เมตร เป็นศิลปะแบบนีโอ โกธิค ด้วยแนวความคิดการคืนกลับสู่ธรรมชาติ ตัวอาคารบรรจงประดับด้วยโมเสคจากเวเนเชี่ยน ประดับด้วยปฏิมากรรมแกะสลักจากหินหลายพันชิ้นจากศิลปินสเปน ปัจจุบันมหาวิหารแห่งนี้ก็ยังดำเนินการก่อสร้างคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ในปี 2026 ที่มหาวิหารแห่งนี้ยังเปิดให้ขึ้นไปชมวิวด้านบนระดับ Top views ได้อีกด้วย
Casa Batlló (คาซ่า บาทิโย่ว) ซึ่งเป็นบ้านของมหาเศรษฐีรายหนึ่งที่ได้ว่าจ้าง ศิลปินเอกเกาดี้ (สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่) ให้ออกแบบบ้านออกมาคาซ่า มิล่า นั้นสร้างเสร็จในปี ค.ศ.1910 โดยมีสถาปนิกสองคนในการควบคุมการก่อสร้าง ซึ่งคนเเรกก็คือ อันโตนีโอ เกาดี้ ส่วนคนที่สองที่มาเก็บงานก็คือ โจเซฟ มาเรีย จูโจล โดยมีรูปเเบบของสถาปัตยกรรมในเเบบโมเดิร์นนิสต้า อันเเสนจะโด่งดังเเละเป็นที่ชื่นชอบของบรรดาฮิปสเตอร์ในปัจจุบันอย่างมากเลยทีเดียว ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวเเห่งนี้นั้นเปิดให้คุณเข้าชมในเวลา 9.00 น. จนถึงเวลา 20.00 น. โดยปิดหนึ่งชั่วโมง เเล้วมาเปิดอีกทีในเวลา 21.00 น. จนถึงเวลา 23.00 น. ซึ่งราคาของตั๋วเข้าชมก็จะอยู่ที่ 35 ยูโรต่อคน เเต่จะมีสองราคาด้วยกัน เเต่ของบอกเลยว่าค่าตั๋วเข้าชมในช่วงกลางคืนนั้นจะมีราคาสูงกว่า เพราะว่าจะมีการเล่นเเสงสีที่มีความสวยงามมากมายเเละเป็นที่นิยมในการมาท่องเที่ยวในช่วงเวลานี้อย่างมาก โดยจะมีไกด์บรรยายภาษาอังกฤษตลอดการเข้าชมอีกด้วย
นับว่าที่ Casa Mila นั้นเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกเเห่งที่น่าสนใจมาเที่ยวชมอย่างมาก เเละที่นี่ก็ยังมีร้านค้าให้คุณได้เลือกซื้อหาของที่ระลึกอีกด้วย
ชมความงานเสร็จ ท้องก็ร้องบ่งบอกว่าต้องหาที่เติมพลังด่วน เราเลือกร้านอาหารชาวบาเซโรน่าแนะนำ และต้องไม่พลาดร้านนี้ ทานไม่ทานถือว่ามาไม่ถึง สุดยอดร้านอาหาร และทาปาส ชื่อดัง เราเลือกทานที่ ร้านอาหาร La Pepita ซึ่งร้านนี้ไม่รับจองทาง Internet ต้องมาต่อคิวหน้าร้านอย่างเดียว ร้านนี้ไม่ใหญ่มาก เรามาถึงก็เห็นคนหนุ่มสาว วัยรุ่น ต่อคิวกันมากมาย มีทั้งชาวบาดซโรน่า และแขกจากประเทศต่างๆ ก็คิดว่า เรามาถูกทางแล้ว คนเยอะดี มีแต่วัยรุ่นทั้งนั้นเลย เหลืออย่างเดียวต้องชิมราชาติ ของอาหาร ร้าน La petita เป็นร้านอาหาร ที่มีแนวคิดใหม่ สร้างมิติการรับประทานทาปาส ซึ่งรสชาติและหน้าตาอาหารนั้นมีความเสิศหรูระดับมิชชินลินสตาร์เลย
Tibidabo, ตั้งอยู่ที่ด้านบนสุดของภูเขากว่า 500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลที่เป็นที่ตั้งของวัด Expiatori Sagrat (โบสถ์อันศักดิ์สิทธิ์) โบสถ์แห่งนี้ใช้เวลากว่า 60 ปีในการสร้างและจะถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดโครงสร้างนีโอโกธิคในบาร์เซโลนา คุณสามารถเข้าถึงสงสัยสถาปัตยกรรมนี้โดยการ Tramvia Blau และรถไฟกระเช้าสู่ยอด Tibidabo ซึ่งคือการเดินทางทางประวัติศาสตร์ในตัวเองเป็นทั้งรถรางและรถไฟที่ถูกสร้างขึ้นในปี 1901
เดินมาเรื่อย ๆ ลงมาจาก catalunya มาแถวๆ เมโทร Jaume I แถวนี้ จะมีจุดสำคัญ ก็คือ Catedral de Barcelona คือวิหารบาร์เซโลนามีอายุย้อนไปตั้งแต่สมัย 1200 และเป็นที่เก็บอัฐิของนักบุญผู้อุปถัมภ์ ส่วนตัวชอบมากเป็นพิเศษเพราะเห็นแล้วมีความมนต์ขลังและมีพลังด้วยมากจริงๆ ถ่ายรูปออกมาแล้วดูสวยมาก แต่เสียดายเราไปรอบนี้ฝนตกตลอดทริป เลย
วันที่สามเราเลือกมาที่หาดบาร์เซโลเนตาตั้งอยู่ตามแนวชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียนในบาร์เซโลนา และอยู่ไม่ไกลจาก La Rambla โดยสามารถเดินถึงกันได้ ที่นี่ยังเป็นจุดชมวิวบริเวณโดยรอบของบาร์เซโลเนตาได้อย่างดี และยังเป็นที่ที่คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวมาเพื่อสัมผัสกับบรรยากาศของความเป็นเมดิเตอร์เรเนียนสุดคลาสสิก ระหว่างทางเดินมีร้าให้เดินช๊อบปิ้ง กันตลอดเลย เพลินจริงๆ
หาดบาร์เซโลเนตายังมีจุดให้กินดื่มมากมาย อาหารทะเลและข้าวอบอันเลื่องชื่อของสเปน หลังพระอาทิตย์ตกดิน บรรดาบาร์ริมหาดหรือ Chiringuitos ก็จะเปลี่ยนสภาพเป็นปาร์ตี้บนหาดทรายที่มีทั้งดีเจและดนตรีสดคอยให้ความบันเทิง มุ่งหน้าไปยัง Passeig de Joan de Borbó เพื่อมองหาคาเฟ่และร้านอาหารดีๆ สำหรับมื้อแสนอร่อยของคุณ
ตลาดโบเกเรียขณะที่เพลิดเพลินไปกับศูนย์รวมอาหารริมทางที่เต็มไปด้วยสีสันและความน่าสนใจ และยังมีบาร์ทาปาสตั้งอยู่ด้วย ตลาดโบเกเรียมีอายุเก่าแก่ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 13 แรกเริ่มเปิดให้บริการเป็นตลาดเปิดโล่งและตั้งอยู่ด้านหน้ากำแพงเมืองเก่าแก่แห่งหนึ่งของบาร์เซโลนา โดยชาวไร่ในท้องถิ่นจะนำผลิตผลในไร่ของตนเองทั้งผักและผลไม้ออกมาตั้งโต๊ะวางขาย พ่อค้าแม่ขายหลายๆ คนก็เป็นคนริเริ่มสร้างตลาดเหล่านี้ขึ้นมา ทุกวันนี้ ตลาดโบเกเรียเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีคนแวะเวียนเข้ามามากที่สุดแห่งหนึ่งในเมือง
หลังจากเดินจนทั่วแล้ว ก็รู้สึกหิวเป็นอย่างมาก เราก็เดินตามหาร้านที่แนะนำใน Tripadvisor เพราะตามรีวิวที่เค้าบอกว่าอร่อย เราเลยหาร้านอาหารที่ขายอาหารซีฟ๊ดและพลาดไม่ได้ที่จะทาน Paella ปาเอย่า ข้าวผัดสเปน เป็นข้าวผัดกับซีฟู้ด หรือไก่ หรือเนื้อกระต่าย และ ผักกับเครื่องเทศ เครื่องเทศที่สำคัญขาดไม่ได้เลยคือ หญ้าฝรั่ง ที่ให้สีเหลือง เสิร์ฟมาจานใหญ่ ทานได้หลายคน ใหญ่มากๆ มาเป็นกระทะ เสิร์ฟมาที ตกใจหมดเลยว่าจะทานหมดไหม รสชาติคล้ายๆ risotto รีซอตโต้ของอิตาลี แต่แห้งกว่า อร่อยเลยทานไปเพลินๆ ก็อร่อยดีและหมดกระทะเลย
การมาสเปนครั้งนี้ถึงแม้อากาศจะไม่เป็นใจสักเท่าไหร่ แต่เราก็ได้เที่ยวชมในทุก ๆที่ สัมผัสเมืองบาร์เซโล่น่าได้อย่างเต็มที่และเราก็หลงรักสน่ห์ของเมืองนี้ไปแล้วจริงๆ หากมีโอกาสก็จะต้องกลับมาเพื่อสัมผัสอารยธรรมตะวันตกอย่างใกล้ชิดอีกครั้งหนึ่ง อีกหนึ่งเสนห์ของอารยธรรมตะวันตก
Credit Pictures by Patrick Metz
Editor by Arpapicha